สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...

 

                                            (1) 

       มีคำกล่าวที่ว่า เกรียงไกรเพียงใด ก็ใช่จะอยู่ค้ำฟ้า นั่นหมายความว่า สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งจะต้องตายแน่แน่...

       แม้ว่า..อาจจะทำใจได้ยากกับคำกล่าวนี้ แต่ "สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ได้ประโยชน์มากกว่า เมื่อเลือกที่จะตายบนเส้นทางของวิวัฒนาการ" 
        ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้น สิ่งมีชีวิตใช่ว่าจะยอมจำนนง่าย ๆ เพราะบนเส้นทางวิวัฒนาการ มีสิ่งที่แสดงให้เห็นตลอดมาว่า สิ่งมีชีวิตต่างก็ขัดขืน ด้วยการรักษาภาวะความคงที่ไว้สุดฤทธ์ หรือเรียกอีกอย่างว่า ภาวะธำรงดุล 
     ภาวะธำรงดุลคือ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง หากสูญเสียความสามารถในการรักษาสภาวะต่าง ๆ ของร่างกายให้คงที่ มนุษย์ย่อมล้มป่วย และสาเหตุของความเจ็บป่วยมาจากเซลล์ เมื่อเซลล์ถูกจุลชีพก่อโรครุกรานเข้ามาทำลาย หรือทำให้หน่วยพันธุกรรมผิดเพี้ยน ภาวะธำรงดุลก็จะล่มสลาย...
        สาเหตุหนึ่งที่เป็นตัวการ ทำให้ร่างกายของเรา ไม่สามารถรักษาสภาวะคงที่เอาไว้ได้ สิ่งนั่นคือ ความแก่ชรา....

        กฎทางฟิสิกส์ สรรพสิ่งล้วนสูญสิ้นความเป็นระเบียบไป ทีละเล็กทีละน้อย หรือทุกสิ่งทุกอย่างจะแตกฉานซ่านเซ็น..
       กฎดังกล่าวเท่ากับว่า สิ่งมีชีวิตก็ต้องล่มสลายในวันใดวันหนึ่ง
       แต่ "แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ " (นักฟิสิกส์ผู้โด่งดัง) กลับกล่าวว่า
      "ชีวิตดำรงอยู่ในสภาวะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยการหักล้างการเพิ่มขึ้นของ "เอ็นทรอปี" 
        หรืออีกนัยหนึ่ง " สิ่งมีชีวิตคือ ระบบที่ต่อต้านการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี เพื่อมีชีวิตอยู่"
        เอ็นโทรปี ( Entropy ) หมายถึงค่าที่ใช้วัดการกระจายของพลังงานและสสารอย่างไม่เป็นระเบียบในทางเทอร์โมไดนามิกส์หรืออุณหพลศาสตร์ ยิ่งสสารไม่เป็นระเบียบ เอนโทรปี ยิ่งมีค่าสูง. 
        แม้ท้ายสุดแล้ว ชีวิตทั้งหลายจะไม่สามารถ ต้านทานกฎการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปีไว้ได้ 
        แต่เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ชีวิตยืนกรานที่จะขัดขืนกฎดังกล่าวเรื่อยมา ตลอดระยะเวลาร้อยล้านปี นับแต่สิ่งมีชีวิตถือกำเนิด 
         ดูจากหน่วยชีวิตคือ เซลล์  ลักษณะเด่นของเซลล์คือ การคงไว้ซึ่งความเป็นระเบียบ ซึ่งก็คือ การรักษาภาวะธำรงดุลนั่นเอง...
         นั่นก็เท่ากับว่า สิ่งมีชีวิตมีกระบวนการรักษาภาวะธำรงดลอยู่ในตัว
        แต่ทำไมสิ่งมีชีวิต จึงยังแก่ชราและตายไปในที่สุด.....

                                              (2)

           ทำไมมนุษย์ต้องตาย ในเมื่อมีบางสิ่งในโลกของเรา มีชีวิตเป็นอมตะ...
           แมงกะพรุน ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักตาย เป็นแมงกะพรุนขนาดเล็ก (Turritopsis dohrnii) มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุดแค่ 1 เซ็นติเมตร อาศัยอยู่บริเวณจังหวัดฮอกไกโดไปจนถึงจังหวัดโอกินาวา ของญี่ปุ่น 

            การเป็นอมตะของมัน จากการศึกษาวิจัย อาจนำไปสู่การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่า "เดิมทีสิ่งมีชีวิตถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นอมตะ" แต่ "สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ได้ประโยชน์มากกว่า เมื่อเลือกที่จะตายบนเส้นทางของวิวัฒนาการ"
            เพราะการตาย ช่วยป้องกันการสูญพันธุ์ เมื่อไม่ตาย ไม่จำเป็นต้องสร้างทายาทสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ การเกิดขึ้นตามมาของเด็ก ทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเผ่าพันธุ์จะล่มสลาย เพราะขาดอาหารและกินกันเอง..สังคมจะอ่อนแอเพราะเต็มไปด้วยประชากรสูงวัย...
            การมีเด็กเกิดน้อยทำให้การกลายของหน่วยพันธุกรรม มีแนวโน้มลดน้อยถอยลง และสิ้นสุดลงแค่ในรุ่นแรก ไม่มีการถ่ายทอดในรุ่นถัดไป 

           การตายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับหลีกเลี่ยงปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดการกลายพันธุ์ เพื่อให้เกิดวิวัฒนาการ 
          แล้วแมงกะพรุน ทำไมไม่ยอมตาย...
          เพราะมันเลือกที่จะแยกตัวออกจาการแข่งขัน ด้านวิวัฒนาการ และใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย...
         เลือกที่จะ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับสายพันธุ์อื่นเพื่อความอยู่รอด ก็ไม่จำเป็นต้องตาย..
         นอกจากนี้ มันยังสามารถคืนความอ่อนเยาว์ ให้ตัวเองได้ด้วย..
         เป็นไปได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ อาจไม่ได้มีแค่แมงกะพรุน แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ไม่ เลือกใช้ชีวิตแบบเงียบสงบหรือไม่ข้องเกี่ยวกับใคร 
        แต่เลือกใช้ชีวิตที่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ อันดุเดือดกับสายพันธ์ุอื่นเพื่อความอยู่รอด จนสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะเหล่านั้นลดจำนวนลง เหลือไว้แค่เพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เป็นอมตะ
         หรืออีกนัยหนึ่ง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาแล้วตายจากไป มีชียเหนือกว่า ด้านการอยู่รอด
          การเป็นอมตะของแมงกะพรุน เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่า 
         ในอนาคต..มนุษย์จะสามารถดำรงอยู่โดบไม่จำเป็นต้องตาย....











อ้างอิง
ทะมทสึ  โยชิโนริ. (2565). LIFE SCIENCE NAGAIKI SEZARUO ENAI JIDAI NO SEIMEI KAGAKU KOGI ร่างกายดีระดับเซลล์. [ผู้แปล: อนิษา เกมเผ่าพันธ์]. กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้ง แอน พับลิซชิ่ง. 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)