ความกตัญญู (Greatful for)

 




                                              แลคำ ลำเลียงความ

   
     ความกตัญญู ใช้จิตเป็นบังเหียน ดึงกงล้อธรรมจักร มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง ด้วยความตั้งใจมั่น..เป็นกระบวนการเรียนรู้ภายในตน...

บทที่ 1 what (คืออะไร)
     นาตาลี ไพรซ์ (Natalie Price) ตกอยู่ในภาวะคับแค้นใจ เธออยู่ในระหว่างการหย่าร้าง และกำลังดิ้นรนหาที่อยู่ให้ลูกๆใหม่ หลังจากตกงาน เธอก็สติแตก แต่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เธอจึงย้ายไปอยู่กับพ่อแม่
       คืนหนึ่ง ในเวลาสองนาฬิกา  เธอตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เพราะเธอกำลังมีอาการหัวใจวาย...


บทที่ 2 Why  (ทำไม)
       ไพรซ์รักษาตัวในโรงพยาบาลซานดิเอโก ที่นั่นเธอได้พบกับนักวิจัยที่กำลังศึกษาผลของความกตัญญูต่อสุขภาพของหัวใจ




บทที่3  How to (ทำอย่างไร)
         เธอได้เข้าร่วมในการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย ซานดิเอโก พร้อมด้วยคนอื่นๆ อีก 186 คน ที่มีความเสี่ยงต่ภาวะหัวใจล้มเหลวเช่นกัน ผู้เข้าร่วมต้องจดบันทึกประจำวัน เพื่อบันทึกทุกสิ่งที่พวกเขารู้สึกต้องขอบคุณ (Greatful for) ไพรซ์บอกว่า บางวันช่างเป็นเรื่องยาก ที่จะคิดถึงสิ่งที่ต้องขอบคุณ แต่เธอก็ปฏิบัติตามจนครบ 8 สัปดาห์ ระหว่างนั้นนักวิจัยก็ได้วัดสุขภาพของหัวใจของผู้เข้าร่วมโครงการด้วย

บทที่4 Results (ผลลัพธ์)
          เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 8 ผลการตรวจเลือดพบว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจลดลง พวกเขายังบอกด้วยว่า มีอารมณ์ดีขึ้นและนอนหลับดีขึ้นด้วย



บทที่ 5 conclusion (สรุป)
            นาตาลี ไพรซ์ได้พบครูผู้มีความรู้ดีและมีเมตตา ครูได้แนะนำชักชวนให้เธอเข้าร่วมในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความเสี่ยงของโรคหัวใจ  เธอน้อมรับฟังคำครูด้วยความเต็มใจและได้ไตร่ตรองจนเกิดความเข้าใจในจุดประสงค์ของโครงการเป็นอย่างดี  จากนั้นได้นำคำของครูมาปฏิบัติจนทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจของเธอลดลง
               ทั้งหมดคือ กระบวนการเรียนรู้ของครูและผู้เข้าร่วมการศึกษาวิจัย (W-Wh-H-R-C) ที่เป็นทั้งวิธีการและเป้าหมายรวมกัน เรียกว่า ปัญญาวุฒิธรรม กระบวนการนี้ทำให้เกิดปัญญาอย่างเต็มเปี่ยม ครบถ้วนและมีความลึกซึ้งภายในตน โดยตนและเพื่อตน..

.........................................................................

                         ภาคผนวก

          มาติน เซลิกแมน (Matin Seligman) เป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ซึ่งถือว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาเชิงบวกด้วย (The father of positive psychology)
โดยทั่วไปวิชาจิตวิทยามักเน้นไปที่ความเจ็บป่วยทางจิต แต่สำหรับสาขาจิตวิทยาเชิงบวกพยายามช่วยให้คนที่มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขมากขึ้น




          ในช่วงทศวรรษ 1980 เซลิกแมน ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพและพบว่า คนที่มุ่งความสนใจไปที่สิ่งเลวร้ายมากกว่าเห็นคุณค่าของสิ่งดี ชีวิตของเขาจะมีความสุขน้อยลง และมีความพอใจกับชีวิตน้อยลงด้วยเช่นกัน
          เซลิกแมนได้ขอให้นักเรียนที่เขาสอนจดบันทึกแสดงความขอบคุณถึงสิ่งต่างๆ ห้าสิ่ง ที่อยากขอบคุณ ทุกสัปดาห์เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 10 นักเรียนรายงานว่า พวกเขามีความเครียดน้อยลง และมีความสุขมากขึ้น

          ต่อมาเซลิกแมน ให้นักเรียนคนอื่นๆอีกเขียนจดหมายแสดงความขอบคุณถึงคนพิเศษของพวกเขา จากนั้นก็ให้พวกเขาไปเยือนคนพิเศษเหล่านั้น แล้วอ่านจดหมายให้พวกเขาฟังปรากฏว่าส่งผลให้พวกเขามีความสุขในระดับที่สูงขึ้นและเกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างกัน




          การแสดงความกตัญญูหรือเห็นคุณค่าสิ่งดีๆในชีวิตจะช่วยเพิ่มความสุขแก่เราได้ ไม่เพียงแต่ในชั่วขณะนั้น แต่ยังส่งผลในระยะยาวอีกด้วย
          หลายๆคนแสดงความกตัญญู ด้วยการจดบันทึกความกตัญญู ลงในกิจกรรมลองทำดู (Try it out) โดยในแต่ละวัน ให้เขียนถึงสิ่งที่เรารู้สึกอยากขอบคุณมาสัก 3-6 อย่าง ซึ่งอาจเป็นเรื่องใหญ่ ๆ เช่น ได้งานใหม่ หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น กาแฟที่ดื่มสักแก้ว หรือเรื่องตลกๆที่เราได้แบ่งปันเพื่อน ๆ มันเป็นเรื่องที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวเอง..

           ยิ่งเราฝึกฝนความรู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งดีๆในชีวิตมากเท่าไร เราก็จะสังเกตเห็นสิ่งดีๆในชีวิตปรากฏแก่เรามากขึ้นเท่านั้น...โดยธรรมชาติ
           





Thankful for :
Deep English.
Shuka Kalantari. The Power of Greatitude to Keep a Damaged Heart Strong, 2015.



         
        





                                        

    
   
           






          
         






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...