เราตื่นแล้ว....

 


      "เราตื่นแล้ว....." 
       เสียงของเพื่อนคนหนึ่ง เล่าบอกเพื่อนอีกหลายคนในกลุ่มไลน์.. ในเช้าตรู่วันหนึ่ง 
       ไลน์กลุ่มตั้งมาหลายปี..สมาชิกในกลุ่มเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนนานมาแล้ว นานขนาดที่ว่า..ถ้าบางคนมีลูกในช่วงนั้น ปัจจุบันลูกคงอายุราว 50 กว่าปีในช่วงนี้...
        จึงพอคิดออกว่า พ่อแม่ของเขาจะอายุประมาณไหน !!

        การหวนกลับมาพบกันของเพื่อนเก่าจึงเป็นการพบกันหลังเกษียณจากงานเป็นส่วนใหญ่ 
        เมื่อมาพบกันอีกครั้ง ทุกคนก็เป็นคนใหม่กันหมดแล้ว เพราะเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิดชีวิต ได้ล้มหายตายจากไป ปัจจุบันจึงเป็นเซลล์ใหม่ ๆ ที่เกิดทดแทนสืบเนื่องกันมาหลายรุ่น หลายวัย จนหน้าตาเดิม ๆ สมัยเรียนด้วยกันไม่เหลือให้เห็นกันแล้ว....จะยังเหลืออยู่เหมือนเดิมก็คือ
         "ความเป็นเพื่อนนี่แหละ..."

          อะไรหรือที่ทำให้ความเป็นเพื่อนไม่เคยเก่าและแก่ตามอายุ... ถ้าไม่ใช่ความรู้สึกร่วม !!
     
        "ความรู้สึกร่วม เป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ ที่มีความหมาย...."

         ความรู้สึกร่วม ทำให้เรารับรู้ถึง สิ่งที่เพื่อนแต่ละคนกำลังประสบอยู่..ทำให้เราเข้าใจวิธีคิดและอารมณ์ของกันและกัน

         ไลน์แอปฯ เป็นโปรแกรมที่จำลองโลกเสมือนของเพื่อน ๆ แต่ละคนให้ทุกคนได้รับรู้ความเป็นไปของกันและกัน
          ชีวิตในโลกเสมือนมีทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องที่ทำให้ดีใจ เสียใจ เป็นโลกที่ระคนด้วยสุขและทุกข์สลับสับเปลี่ยนกันไป.... แต่ไม่ว่าความสวยงามจะอยู่ฝั่งซ้าย หรือความตายจะอยู่ฝั่งขวา "พวกเรา" ก็รับกันได้หมด 

          เพราะความรู้สึกร่วม เป็นความดีงามที่ปรากฏออกมาในรูปของการกระทำ ที่ทำให้ รู้สึกปลอดภัยและแสดงความมีน้ำใจ พร้อมที่จะเป็นผู้ให้อยู่ในตัว
         ที่สำคัญ ความรู้สึกร่วม ทำให้เรามีความรู้สึกเห็นใจกันและกัน มีความปรารถนาดีต่อกัน และส่งมอบให้กันและกันในนามของความมีเมตตากรุณา นี่คือ พื้นใจของเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ฯ
         
         "หากมีความเกลียดชัง จะทำให้ไม่มีความรู้สึกร่วมใด ๆ..."
        
         การได้รับความเห็นอกเห็นใจ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกคน นอกจากจะเป็นผลบวกต่อกลุ่มเพื่อนแล้ว ขอบเขตของคำว่า "พวกเรา" ยังขยายพื้นที่ออกไปได้อย่างกว้างขวางแบบไม่จำกัด (จะเห็นได้จากการขยายเมตตากรุณาไปสู่ผู้ประสบภัยและการร่วมกันทำบุญตามประเพณีต่าง ๆ) อีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
         
        "ความดีงามและความเมตตากรุณา ได้แผ่กระจายทั่วหัวใจของกลุ่มเพื่อนในรูปแบบของวิถีชีวิต" แล้ว 
        พวกเราได้ยกระดับความมีเมตตากรุณาต่อคนประเภทต่าง ๆ ได้แบบก้าวหน้า กล่าวคือ..
       คนที่เรารู้สึกขอบคุณ (ผู้มีพระคุณ) 
       คนที่เรารักหรือเพื่อน 
       คนที่เรารู้สึกเฉย ๆ ก็ด้วย
       คนที่ทำความลำบากให้กับชีวิตเรา (ศัตรู)
       และแม้กระทั่งตัวเราเอง.....

        ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราเริ่มจากความรู้สึกร่วมและได้รับรู้ความรู้สึกผู้อื่น ที่ทำให้พบว่า เราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน (ไม่มีความแตกต่างกันเลย) 
       ต่างคนต่างมีปัจจัยหลายอย่างเกิดขึ้น "ก่อนหน้า" ที่เป็นตัวบีบคั้น ผลักดันพฤติกรรมของแต่ละคนมาเหมือนกัน 

         เมื่อเป็นดั่งนี้ "ความเมตตากรุณาจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติแล้วส่งมอบเป็นความปรารถนาดี และความรู้สึกเมตตากรุณานั้นไปให้..."

         นี่คือ ภาพของการรวมกันเป็นหนึ่งของความห่วงใยอย่างผู้มีปัญญา....

          เวลา 03 45 น. เป็นเวลาที่เพื่อนคนหนึ่งบอกพวกเราว่า "เราตื่นแล้ว"  
          "ปกติ ผมตื่นตี 4 ครึ่ง แล้วสวดมนต์ 30 นาที" เพื่อนอีกคนตอบ
           "เราฟังสวดมนต์จากทีวีช่องสาม แล้วออกกำลังกาย" เพื่อนคนแรกขยายความ ขณะเดียวกันมีเพื่อนคนที่สามร้องแทรกว่า
            "ลุง ๆ ตื่นแต่เช้าเลยนะ" 

            พวกเขาสนทนากันเรื่อง "เราตื่นแล้ว"
            แต่ผมกลับมองว่า
            "พวกเขาตื่นรู้"........


            
          

      



        

      

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...