รายงานการพัฒนาโลก 2018 : การเรียนรู้เพื่อบรรลุคำมั่นสัญญาทางการศึกษา
"Education is the most powerful weapon we can use to change the world." - Nelson Mandela, 2003.
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปี ที่รายงาน World Development Report 2018 ของธนาคารโลก ให้ความสนใจเรื่องการศึกษาโดยเฉพาะ
โดยธนาคารโลกเตือนถึง ปัญหาวิกฤตเรื่องการเรียนรู้ในระดับโลก ซึ่งเกิดขึ้นทั้งในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและในพื้นที่ด้อยโอกาสบางแห่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ในสหรัฐฯ ด้วย
รายงานของธนาคารโลกชี้ว่า การให้การศึกษาโดยปราศจากการเรียนรู้ นับเป็นโอกาสที่สูญเปล่า และเยาวชนในสังคมที่ประสบปัญหามากที่สุดคือ กลุ่มที่ต้องการการศึกษาซึ่งมีคุณภาพมากที่สุด เพื่อช่วยให้ประกันความสำเร็จในชีวืตได้ (VOA, 2017)
วิกฤตการเรียนรู้ (Learning Crisis)
วิกฤตการเรียนรู้ในครั้งนี้ เป็นวิกฤตทางศีลธรรมและเศรษฐกิจ
ประการแรกที่ใช้พิจารณาคือ ผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning outcomes) ซึ่งมีคุณภาพต่ำ.
ในปี 2008 ค่าเฉลี่ยการเข้าเรียนของนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ (Low-income country) มีค่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย ของประเทศที่มีรายได้สูง (High - income country)
แต่การเรียนในโรงเรียน ไม่เกิดการเรียนรู้ มีระบบการศึกษามากมาย ที่นักเรียนได้เรียนรู้เพียงเล็กน้อย นักเรียนหลายล้านคนขาดทักษะพื้นฐานในการอ่านเขียน (Literacy) และการคิดเลข (Numeracy)
ในการประเมินผลการอ่านเขียนและการคิดเลขในระดับนานาชาติจากโครงการ Progress in International Reading Literacy Study (PIRLS)
Trends in International Mathematics and Science Study (TIMSS)
และ Programme for International Student Assessment (PISA)
ได้เผยให้เห็นผลลัพธ์การเรียนรู้ดังกล่าวไว้โดยท้่วไป..
ประการที่สองคือ วิกฤตการเรียนรู้ยังทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม (Inequality) ในด้านการเรียนรู้อีกด้วย กล่าวคือ Programme d'Analyse des Systemes Educatifs de la Confemen (PASEC) ได้ประเมินความไม่เท่าเทียมทางการเรียนรู้ ได้พบว่า มีช่องว่างระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลางเทียบกับประเทศที่มีรายได้สูง
"นักเรียนมีการเรียนรู้น้อยในแต่ละปี จะทำให้มีการสะสมการเรียนรู้ที่บกพร่องนี้ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป"...
ประการที่สามอุปสรรคสำคัญของการเรียนรู้คือ การไม่ได้ไปโรงเรียนเลย
ในปี 2016 เด็ก ๆ 61 ล้านคน ไม่ได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษา ตามมาด้วยอีก 202 ล้านคนในระดับมัธยมศึกษา
สาเหตุอาจมาจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุเพราะความยากจนและความขัดแย้ง ไม่ใช่สาเหตุที่ครอบคลุมทั้งหมด
"วิกฤตการเรียนรู้นี่แหละ ที่ทำให้พ่อ-แม่เด็กนักเรียนไม่พอใจ และไม่ส่งเด็กไปโรงเรียน"
การขาดตกบกพร่องในการเรียนรู้ระหว่างเรียน ได้แสดงผลออกมาให้เห็นในรูปแบบของ "ทักษะแรงงานต่ำ" ในที่สุด
ปัญหาแรงงานขาดทักษะกับการเรียนรู้มักมีการพูดถึงกันในฐานะที่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก
เพราะจริง ๆ ระบบการศึกษามีไว้เพื่อเตรียมคนไปสู่ตลาดแรงงานให้พอเพียงกับความต้องการ
แต่จากการประเมินทักษะของประชากรในประเทศต่าง ๆ จำนวนมากพบว่า แม้แต่ทักษะพื้นฐาน (Foundamental Skills) เช่น การอ่าน การเขียน การคิดเลข ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ต้องพูดถึงทักษะที่สูงขึ้นไปอีก
การขาดทักษะทำให้คุณภาพของงาน รายได้และการโยกย้ายแรงงานลดลง
เมื่อพิจารณาจากการลงทุนด้านการศึกษาของประเทศต่าง ๆ พบว่า การเรียนรู้ยังขาดตกบกพร่อง แต่เหตุผลประการหนึ่งก็คือ การเรียนรู้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร...
ส่งผลให้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขาดข้อมูลที่ทำให้สามารถดำเนินการได้ เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังผิดพลาด ในโรงเรียนของตน และโรงเรียนชายขอบ โดยไม่สามารถหาวิธีการที่เหมาะสมในบริบท นั้น ๆ เพื่อให้สามารถปรับปรุงการเรียนรู้ได้
ประการแรกที่ใช้พิจารณาคือ ผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning outcomes) ซึ่งมีคุณภาพต่ำ.
ในปี 2008 ค่าเฉลี่ยการเข้าเรียนของนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ (Low-income country) มีค่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย ของประเทศที่มีรายได้สูง (High - income country)
แต่การเรียนในโรงเรียน ไม่เกิดการเรียนรู้ มีระบบการศึกษามากมาย ที่นักเรียนได้เรียนรู้เพียงเล็กน้อย นักเรียนหลายล้านคนขาดทักษะพื้นฐานในการอ่านเขียน (Literacy) และการคิดเลข (Numeracy)
ในการประเมินผลการอ่านเขียนและการคิดเลขในระดับนานาชาติจากโครงการ Progress in International Reading Literacy Study (PIRLS)
Trends in International Mathematics and Science Study (TIMSS)
และ Programme for International Student Assessment (PISA)
ได้เผยให้เห็นผลลัพธ์การเรียนรู้ดังกล่าวไว้โดยท้่วไป..
ประการที่สองคือ วิกฤตการเรียนรู้ยังทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม (Inequality) ในด้านการเรียนรู้อีกด้วย กล่าวคือ Programme d'Analyse des Systemes Educatifs de la Confemen (PASEC) ได้ประเมินความไม่เท่าเทียมทางการเรียนรู้ ได้พบว่า มีช่องว่างระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลางเทียบกับประเทศที่มีรายได้สูง
"นักเรียนมีการเรียนรู้น้อยในแต่ละปี จะทำให้มีการสะสมการเรียนรู้ที่บกพร่องนี้ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป"...
ประการที่สามอุปสรรคสำคัญของการเรียนรู้คือ การไม่ได้ไปโรงเรียนเลย
ในปี 2016 เด็ก ๆ 61 ล้านคน ไม่ได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษา ตามมาด้วยอีก 202 ล้านคนในระดับมัธยมศึกษา
สาเหตุอาจมาจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุเพราะความยากจนและความขัดแย้ง ไม่ใช่สาเหตุที่ครอบคลุมทั้งหมด
"วิกฤตการเรียนรู้นี่แหละ ที่ทำให้พ่อ-แม่เด็กนักเรียนไม่พอใจ และไม่ส่งเด็กไปโรงเรียน"
การขาดตกบกพร่องในการเรียนรู้ระหว่างเรียน ได้แสดงผลออกมาให้เห็นในรูปแบบของ "ทักษะแรงงานต่ำ" ในที่สุด
ปัญหาแรงงานขาดทักษะกับการเรียนรู้มักมีการพูดถึงกันในฐานะที่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก
เพราะจริง ๆ ระบบการศึกษามีไว้เพื่อเตรียมคนไปสู่ตลาดแรงงานให้พอเพียงกับความต้องการ
แต่จากการประเมินทักษะของประชากรในประเทศต่าง ๆ จำนวนมากพบว่า แม้แต่ทักษะพื้นฐาน (Foundamental Skills) เช่น การอ่าน การเขียน การคิดเลข ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ต้องพูดถึงทักษะที่สูงขึ้นไปอีก
การขาดทักษะทำให้คุณภาพของงาน รายได้และการโยกย้ายแรงงานลดลง
ทักษะที่จำเป็นในตลาดแรงงานอาจมองได้หลายมิติ ดังนั้น ระบบต่าง ๆ จำเป็นต้องเตรียมนักเรียนให้ดี มากกว่าแค่การอ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็นเท่านั้น (อย่างไรก็ตาม แม้เพียงทักษะพื้นฐาน เด็ก ๆ ก็ไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้อย่างง่ายดาย..)
ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานหรือคนในสังคมทั่วไป ผู้คนต่างต้องการทักษะทางปัญญาที่สูงขึ้น (Cognitive Skills) เช่น การแก้ปัญหา (Problem-Solving)
นอกจากนี้ ยังต้องการทักษะทางอารมณ์และสังคม (Socioemotional Skills) บางครั้งอาจอาจเรียกว่า ทักษะอ่อน หรือทักษะที่ไม่ใช่ทักษะทางปัญญา (Solf or Noncognitive Skills) เช่น การมีจืตสำนึก (Conscientiousness)
สุดท้าย พวกเขาต้องการทักษะทางเทคนิค (Technical Skills) เพื่อใช้ในงานเฉพาะ (Specific job) ที่เรียกว่า ทักษะการคิดพื้นฐาน (Foundamental Cognitive Skills) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ระบบการศึกษาไม่สามารถหลีกเลี่ยงความท้าทายเหล่านั้น ที่จะต้องกำหนดให้เป็นเป้าหมายระดับสูงได้...
การติดตามวิกฤตการเรียนรู้และช่องว่างทางทักษะ ต้องอาศัยการวินิฉัยสาเหตุ จากสองสาเหตุโดยตรง ทั้งในระดับโรงเรียนและปัจจัยที่ขับเคลื่อนเชิงระบบที่ลึกซึ้งกว่า
ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานหรือคนในสังคมทั่วไป ผู้คนต่างต้องการทักษะทางปัญญาที่สูงขึ้น (Cognitive Skills) เช่น การแก้ปัญหา (Problem-Solving)
นอกจากนี้ ยังต้องการทักษะทางอารมณ์และสังคม (Socioemotional Skills) บางครั้งอาจอาจเรียกว่า ทักษะอ่อน หรือทักษะที่ไม่ใช่ทักษะทางปัญญา (Solf or Noncognitive Skills) เช่น การมีจืตสำนึก (Conscientiousness)
สุดท้าย พวกเขาต้องการทักษะทางเทคนิค (Technical Skills) เพื่อใช้ในงานเฉพาะ (Specific job) ที่เรียกว่า ทักษะการคิดพื้นฐาน (Foundamental Cognitive Skills) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ระบบการศึกษาไม่สามารถหลีกเลี่ยงความท้าทายเหล่านั้น ที่จะต้องกำหนดให้เป็นเป้าหมายระดับสูงได้...
การติดตามวิกฤตการเรียนรู้และช่องว่างทางทักษะ ต้องอาศัยการวินิฉัยสาเหตุ จากสองสาเหตุโดยตรง ทั้งในระดับโรงเรียนและปัจจัยที่ขับเคลื่อนเชิงระบบที่ลึกซึ้งกว่า
เมื่อพิจารณาจากการลงทุนด้านการศึกษาของประเทศต่าง ๆ พบว่า การเรียนรู้ยังขาดตกบกพร่อง แต่เหตุผลประการหนึ่งก็คือ การเรียนรู้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร...
ส่งผลให้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขาดข้อมูลที่ทำให้สามารถดำเนินการได้ เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังผิดพลาด ในโรงเรียนของตน และโรงเรียนชายขอบ โดยไม่สามารถหาวิธีการที่เหมาะสมในบริบท นั้น ๆ เพื่อให้สามารถปรับปรุงการเรียนรู้ได้
การดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลต้องเริ่มจากการเข้าใจก่อนว่า โรงเรียนและระบบโรงเรียนทำใหผู้เรียนล้มเหลวอย่างไร ??
หมายเหตุ :
โครงการ PIRLS (Progress in International Reading Literacy Study) เป็นการศึกษาระดับนานาชาติที่ประเมินความสามารถในการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 (อายุประมาณ 9-10 ปี) โดยจัดทำโดยสมาคมนานาชาติเพื่อการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา (IEA) การประเมินนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดความสามารถในการอ่านและทำความเข้าใจของนักเรียนในหลายประเทศทั่วโลก
PIRLS จะทำการประเมินทุกๆ 5 ปี โดยการทดสอบจะครอบคลุมทั้งการอ่านเพื่อความเข้าใจและการอ่านเพื่อการเรียนรู้
โครงการ TIMSS (Trends in International Mathematics and Science Study) เป็นโครงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับนานาชาติที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินสถานการณ์การเรียนรู้ในปัจจุบัน โดยเน้นการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โครงการ PISA (Programme for International Student Assessment) เป็นโครงการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติที่ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาของประเทศต่าง ๆ โดยเน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนอายุ 15 ปีในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
การประเมินของ PISA มุ่งเน้นการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน. การทดสอบนี้จัดขึ้นทุก 3 ปี และมีประเทศเตข้าร่วมมากกว่า 80 ประเทศ
โครงการ PASEC (Programme d'Analyse des Systèmes Éducatifs de la CONFEMEN) เป็นโครงการที่จัดทำโดย CONFEMEN (Conférence des Ministres de l'Éducation des États et Gouvernements de la Francophonie) เพื่อประเมินและวิเคราะห์ระบบการศึกษาในประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
การประเมิน PASEC มุ่งเน้นไปที่การวัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนในระดับประถมศึกษา โดยเฉพาะในด้านการอ่านและคณิตศาสตร์
โครงการเหล่า นี้ช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนและปรับปรุงการสอนและความเท่าเทียมในวิชาต่าง ๆ ได้....
Reference:
VOA. (2017). ธนาคารโลกชี้ปัญหาวิกฤตเรื่องการเรียนรู้ระดับโลก. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2567. จาก www.voathai.com.
The World Bank. (2018). Learning To Realize Education's Promise. World Development Report.
หมายเหตุ :
โครงการ PIRLS (Progress in International Reading Literacy Study) เป็นการศึกษาระดับนานาชาติที่ประเมินความสามารถในการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 (อายุประมาณ 9-10 ปี) โดยจัดทำโดยสมาคมนานาชาติเพื่อการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา (IEA) การประเมินนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดความสามารถในการอ่านและทำความเข้าใจของนักเรียนในหลายประเทศทั่วโลก
PIRLS จะทำการประเมินทุกๆ 5 ปี โดยการทดสอบจะครอบคลุมทั้งการอ่านเพื่อความเข้าใจและการอ่านเพื่อการเรียนรู้
โครงการ TIMSS (Trends in International Mathematics and Science Study) เป็นโครงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับนานาชาติที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินสถานการณ์การเรียนรู้ในปัจจุบัน โดยเน้นการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โครงการ PISA (Programme for International Student Assessment) เป็นโครงการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติที่ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาของประเทศต่าง ๆ โดยเน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนอายุ 15 ปีในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
การประเมินของ PISA มุ่งเน้นการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน. การทดสอบนี้จัดขึ้นทุก 3 ปี และมีประเทศเตข้าร่วมมากกว่า 80 ประเทศ
โครงการ PASEC (Programme d'Analyse des Systèmes Éducatifs de la CONFEMEN) เป็นโครงการที่จัดทำโดย CONFEMEN (Conférence des Ministres de l'Éducation des États et Gouvernements de la Francophonie) เพื่อประเมินและวิเคราะห์ระบบการศึกษาในประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
การประเมิน PASEC มุ่งเน้นไปที่การวัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนในระดับประถมศึกษา โดยเฉพาะในด้านการอ่านและคณิตศาสตร์
โครงการเหล่า นี้ช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนและปรับปรุงการสอนและความเท่าเทียมในวิชาต่าง ๆ ได้....
Reference:
VOA. (2017). ธนาคารโลกชี้ปัญหาวิกฤตเรื่องการเรียนรู้ระดับโลก. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2567. จาก www.voathai.com.
The World Bank. (2018). Learning To Realize Education's Promise. World Development Report.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น