How to love myself: การรักตัวเอง
กรรมฐาน (สติปัฏฐาน 4 ) เพื่อการเจริญสมาธิ
ทุกครั้งที่ผมได้รับคำเชื้อเชิญจากผองเพื่อนให้ไปร่วมพบปะ สังสรรค์กัน ผมรู้สึกปราโมทย์ (ยินดี) เป็นอย่างยิ่ง...
ความปราโมทย์ มิได้เกิดขึ้นกับใคร ๆ ได้ง่าย ๆ เสมอไป (หลายคนจิตใจอมทุกข์อยู่) ใครที่ทำเช่นนั้นได้ ต้องผ่านการละวางจากการยึดติดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือบุคคลมาก่อน..
การเชื้อเชิญเป็นการแสดงมุทิตาจิตของเพื่อนที่มีต่อเรา เป็นจิตที่มุ่งออกไปข้างนอก ซึ่งเป็นจิตประเภทเดียวกับความมีเมตตา และเป็นจิตที่มีกระแสตรงข้ามกับการยึดครองหรือเอาเข้าตัว.....
คนที่มีเมตตา เกิดจากการสลัดบางอย่างออกไป เช่น ความอยาก ความพยาบาท ความโกรธ ทิฐิ มานะ เป็นต้น
ที่ต้องสลัดก็พื่อให้จิตมีที่ว่าง สำหรับบรรจุความมีเมตตา กรุณาให้มากขึ้นนั่นเอง
การขยายพื้นที่จิตเพื่อรองรับกรรมที่เป็นกุศลเช่นนั้น ผมเพียรพยายามฝึกฝนมานานพอสมควร..เป็นชีวิตประจำวัน..เรียกว่าการภาวนา..
ซึ่งดำเนินด้วยการกำหนดเอาการเดิน (หรือวิ่ง) มาเป็นอิริยาบถให้สติเกาะกุม
ขณะเดิน (หรือวิ่ง) ได้กำหนดสติไปที่เท้าทั้งสองข้าง รับรู้ฝ่าเท้ากระทบพื้นทุกครั้ง ประคองสติไว้ด้วยการบริกรรม นับจำนวนรอบที่เดินหรือวิ่ง (เป็นวงกลมหรือจงกรม) ไม่ให้ขาดตอน จนได้ระยะทางตามที่กำหนดไว้ ก็เป็นอันจบการภาวนา ถือว่าเป็นการทำกรรมฐาน (สติปัฏฐาน 4) ด้วยการกำหนดรู้อิริยาบถ (กายานุปัสสนาปฏิปัฏฐาน) สำเร็จ
เมื่อกรรมฐานสำเร็จลง มีความชอบใจในกรรมฐานนั้น ทำให้อยากทำอีก เพราะยิ่งฝึกมากยิ่งมีใจยินดี (ปราโมทย์) มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการสลัดความขี้เกียจ เอาชนะความง่วงเหงาซึมเซา ได้สำเร็จแบบเบ็ดเสร็จ (มีบันทึกสถิติด้วย)*
ดังนั้น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา จึงอยากทำกรรมฐาน เพื่อความก้าวหน้าในการเดิน (หรือวิ่ง) ไปเรื่อย ๆ การทุ่มกายทุ่มใจ เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ยินดี เป็นปิติ (อิ่มใจ) มีความสุข (สบายกายสบายใจ)
การทำลายสถิติ ในระยะทางและเวลาที่ใช้จึงสามารถทำได้อยู่เรื่อย ๆ
นี่คือ พลังสมาธิ ที่รู้และเห็นผลได้ด้วยตนเอง
พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุที่ทำให้ฟุ้งซ่านและต้องห่างจากสมาธิ มาจากประการต่าง ๆ เช่นการพูดมาก การคลุกคลีหมู่คณะ เมื่อห่างจากเหตุแห่งความฟุ้งซ่านเสียได้ ย่อมไม่เหนื่อย
โอกาสปลีกวิเวก แทนการตอบรับคำเชิญจากผองเพื่อน จึงเป็นไปเพื่อความเจริญในสมาธิ....ด้วยประการฉะนี้ครับ...สาธุ
หมายเหตุ*
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น