ฝึกสติรู้ตัวในความฝัน (Pratice Mindfulness in Your Dreams)
เมื่อคืนฝันว่าได้นั่งสังสรรค์กับเพื่อน ๆ สมัยอยู่ในวัยทำงาน บนโต๊ะมีข้าวปลาอาหารและเครื่องดื่มรับรองเต็มที่...
แต่ระหว่างที่คุยกันนั้นกลับไม่มีเสียงสนทนา ไม่มีรสชาติของอาหารและเครื่องดื่ม แม้จะเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมใด ๆ ก็รู้สึกไม่สะดวก ติดขัดไปหมด ไม่สามารถทำอะไรได้คล่องแคล่ว.....
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือน
ภาพยนตร์เงียบที่ฉายลงบนจอภาพ โดยปราศจากสรรพสำเนียงใดๆ....
"ในความฝันนั้นสิ่งที่มีอยู่จริงคือ จิตกับอุปทาน (การยึดมั่นถือมั่น.).."
หากกำหนดรู้ได้ว่าสิ่งที่เห็นในฝันนั้นเป็น "ของหลอก" จิตก็จะปล่อยวางความยึดมั่น คลายความทุกข์ได้ระดับหนึ่ง...
"บุคคลผู้ตื่นจากหลับ ย่อมไม่ถิอสิ่งที่ประสบในฝันว่า เป็นตัวเป็นตน แม้ฉันใดก็ย่อมไม่เห็นบุคคลที่ตนรักสิ้นชีวิตล่วงไปแล้ว แม้ฉันนั้น"
ที่ยังเห็นว่ามีเรา คนที่เรารักมีชีวิตอยู่ คนที่เรารักตายจากพรากกัน ก็กล่าวได้ว่า เพราะเรายังฝันอยู่..ยังหลับไม่ตื่น
ต่อเมื่อตื่นขึ้นเต็มตัว (บรรลุธรรม) แล้ว ก็ไม่เหลือเรา ไม่เหลือใคร นอกจากธรรมชาติอันเกิดดับ "นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรดับไป"...
ความฝันไม่ใช่สิ่งไร้สาระ เพราะสามารถนำมาพิจารณาให้เกิดความปล่อยวางได้ ดังพระอสุภะ บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ เพราะมีฝันเป็นชนวน...
"โดยท่านฝันว่า ได้ห่มจีวรสีอ่อนเฉวียงบ่า นั่งบนคอช้าง เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน พอเข้าไปก็ถูกมหาชนพากันมารุมมุงดู จึงลงจากคอช้าง.."
ฝันถึงตรงนี้ จึงลืมตาตื่นขึ้น แล้วได้ความสลดใจว่า ความฝันนี้เราไม่มีสติ สัมปชัญญะ ในฝันนั้นเห็นแล้ว เราเป็นผู้กระด้างด้วยความมัวเมาเพราะชาติตระกูล เมื่อได้ความสังเวชแล้ว จึงได้บรรลุความสิ้นอาสวะ. ...
กรณีของพระอสุภะ แม้จะมีกำลังแก่กล้าในสติสมาธิ แต่ยังไม่รู้ตัวว่า "ติด" อยู่กับกิเลสบางประเภท ที่ขวางมรรคผล ยังรั้งยึดให้หลงยินดีในภพในชาติแบบจัง ๆ ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่เองที่คนเรามักมองไม่เห็นว่ามี กิเลสใด ซุกซ่อนอยู่บ้าง หากปราศจากสิ่งกระทบ...
ความฝันของพระอสุภะคือ กระจกเงาส่อง(กระทบ) ให้ตนสำนึกรู้ว่า แท้จริงในส่วนลึกตนยัง "เมา" ในชาติตระกูล..
พอรู้ตัวก็ละวาง ความเมา เสียได้ด้วยปัญญา.....
ย้อนมากล่าวถึงความฝันเมื่อคืนกับเพื่อน ๆ
ในความฝันนั้น..เมื่ออึดอัดขัดข้องทำอะไรไม่สะดวก จึงลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก..และรู้สึกได้ว่า ในความฝันนั้น ตนเองขาดสติสัมปชัญญะ หยาบกร้านด้วยความมัวเมาใน "กามสุข" เหมือนกัน..
เหตุการณ์ทั้งหมด เป็นสิ่งมายา แต่นำมาเป็นประทีปส่องทางให้เห็นสำนึกแห่งตนได้ว่า ตนยังมีกิเลสที่แฝงเร้นอยู่ในส่วนลึกแบบไม่รู้ตัวอยู่ไม่น้อย..เมื่อเห็นเช่นนี้....ได้พิจารณาแล้ว ทำให้ปลงสังเวช...
ยิ่งย้อนกลับไปที่ความฝันเมื่อคืนนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า โต๊ะเก้าอี้ที่พวกเรานั่งรับประทานอาหารนั้น จุ่มตัวอยู่ในน้ำที่ใหลบ่าท่วมมาแบบไม่รู้ตัว........
ปล. พระเถระนามว่า อสุภะ ได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดด้วยมีฝันเป็นชนวน ดังแสดงในอสุภ
เถรคาถาว่าด้วยสุภาษิตเกี่ยวกับความฝัน...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น