นักโทษของอดีต
"ความเชื่อ แม้ว่าจะเป็นจริงในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ใช่ว่า จะต้องเป็นจริงในปัจจุบัน "
ความเชื่อและมุมมองมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ในอดีต ความเชื่อใดที่เรามีต่อตัวเรา จึงมาจากอดีตของเราเช่นกัน ..
เราเสพติดความเชื่อของเรา เราเสพติดอารมณ์ในอดีตของเรา เราได้วางเงื่อนไขตัวเราเองให้เชื่อในหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจไม่เป็นความจริง (เช่นวัฒนธรรม ประเพณี Lifestyle ฯลฯ) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่มักมีผลกระทบเชิงลบ ต่อสุขภาพและความสุขของเรา....
สำหรับคนส่วนใหญ่ ความเชื่อจะถูกฝังเอาไว้ ผ่านจิตสำนึก เข้าไปอยู่ในระบบจิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ..
ถามว่า..แต่ละคนมีความเชื่อมาจากประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่อาจไม่เป็นจริงอยู่มากเพียงใด..
การเปลี่ยนความเชื่ออาจเป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้......
เมื่อเราจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อใด ต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับว่ามันเป็นไปได้ก่อน แล้วจึงเปลี่ยนระดับพลังงานของเราด้วยอารมณ์ที่ยกระดับให้สูงขึ้น จากนั้น จึงปล่อยให้ร่างกายจัดระเบียบตัวเองใหม่
หากเราจดจ่อเจตนารมณ์ไปที่ผลลัพธ์ในอนาคตแบบหนึ่ง ร่างกายในฐานะจิตใต้สำนึก จะเริ่มประสบกับเหตุการณ์อนาคตนั้นในปัจจุบัน (สมองไม่อาจแยกแยะระหว่างความคิดกับความจริงภายนอก) และส่งสัญญาณให้กับยีนใหม่ ด้วยวิธีการใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับเหตุการณ์ใหม่ในอนาคต ตามที่จินตนาการไว้..
หากเราทำการฝึกฝนจิตใจต่อไป ผ่านทางเลือก พฤติกรรมและประสบการณ์ใหม่นานเพียงพอ สมองจะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ด้วยการติดตั้งวงจรประสาทเพื่อการเริ่มคิดจากระดับจิตใจระดับใหม่ เป็นประสบการณ์ใหม่ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและการทำงานของร่างกาย
นี่เป็นเพียงการอาศัยความคิดเท่านั้น......
จากนั้น..สมองและร่างกายของเราจะไม่อยู่ในอดีตเดิม ๆ อีกต่อไป แต่จะเริ่มอยู่ในอนาคตใหม่ที่เราสร้างขึ้นจากจิตใจของตัวเอง...
ขณะที่เราจินตนาการถึงสุขภาพดีในอนาคต สมองกลีบหน้า (Frontal lobe) จะเริ่มทำงาน มันจะสร้างเจตนารมณ์ที่จะมีสุขภาพดีและมโนภาพของการมีสุขภาพดีให้เราได้เห็น
สมองกลีบหน้าคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา..
ในทางร่างกาย สมองจะสร้างสารสื่อเคมี นิวโรเพปไทด์ ส่งออกไปยังเซลล์ในร่างกาย จนถึงดีเอ็นเอ (D.N.A.) เพื่อให้เซลล์ได้รับข้อความใหม่ว่า "เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นแล้ว.."
ดีเอ็นเอ..จะสร้างฮอร์โมน ไปกระตุ้นยีนบางชนิด ด้วยสภาวะการเป็นอยู่ใหม่ของเรา ยีนจะสร้างโปรตีนเป็นลำดับถัดมา ซึ่งเราจะเห็นผลของสิ่งเหล่านี้ได้จากการเปลี่ยนแปลงที่สามารถวัดได้ในร่างกายของเรา...
ขอย้ำว่านี่คือผลจากความคิดเท่านั้น...
ที่กล่าวมาทั้งหมดเริ่มจาก "จินตนาการ" ของเราที่มีมโนภาพถึงสุขภาพที่ดี....
จินตนาการ (Imagination) เป็นการทำงานของสมอง (Prefrontal cortex)
เมื่อสมองทำงาน วิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมองได้ ด้วยเครื่องการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG - Electroencepholography)
มนุษย์มีความถี่คลื่นสมองหลายค่าที่สามารถวัดได้ ยื่งเราอยู่ในสภาวะคลื่นสมองช้าเท่าใด เรายิ่งจะอยู่ลึกเข้าไปใน"โลกภายในแห่งจิตใต้สำนึก" มากเท่านั้น สภาวะคลื่นสมองจากช้าที่สุด จนถึงเร็วที่สุดประกอบด้วย..
เดลต้า..(หลับลึก ไม่รู้สึกตัว)
ธีตา..(กึ่งหลับกึ่งตื่น)
อัลฟา..(จินตนาการ/คิดสร้างสรรค์)
เบตา...(ความคิด จิตสำนึก)
แกมมา (สภาวะจิตระดับสูง)
เบตาคือ สภาวะที่เราตื่นตามปกติ สมองส่วนหน้า( Neocortex) จะประมวลผลข้อมูลที่ผ่านเข้ามาจากประสาทสัมผัสทั้งหมด และสร้างความหมายระหว่างโลกภายนอกและโลกภายใน คลื่นสมองเบตามี 3 รูปแบบ
เบตาต่ำ (สภาวะผ่อนคลาย)
เบตากลาง (เรียนรู้ จดจำ)
เบตาสูง (การตื่นตัวระดับสูง ภาวะวิกฤต เครียด)
คลื่นเบตา ความถี่สูง
การลดคลื่นความถี่สูงไปสู่อัลฟา ที่มีความถี่ต่ำกว่า เราจะมีความสนใจ มีสมาธิและจดจ่อ ผ่อนคลายมากขึ้น สมองส่วนหน้าทำงานโดยอัตโนมัติ อยู่ในสภาวะที่มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์
ยิ่งไปกว่านั้น ความถี่ธีตา (กึ่งหลับกึ่งตื่น) เป็นสภาวะเข้าถึงสมาธิ เข้าถึงจิตใต้สำนึกได้ เช่นนี้.. เราจะอยู่ในโลกภายใน เป็นหลัก...
คลื่นสมองความถี่ต่ำ
เพื่อเปลี่ยนแปลงความเชื่อหรือชีวิตของเรา จึงต้องตั้งใจแน่วแน่ (จิตตั้งมั่น) เลือกทางเลือกใหม่ที่มีระดับพลังงาน (เจตนารมณ์) ที่สูงกว่า ความจำฝังลึกและเงื่อนไขอารมณ์ที่มีอยู่ในสมองและการเสพติดของร่างกาย....
ร่างกายจะต้องตอบสนองต่อจิตใจใหม่ ก่อให้เกิดประสบการณ์ภายในแบบใหม่ที่อยู่เหนือประสบการณ์(เก่า)
ในอดีต..
วงจรในสมองจะถูกสร้างขึ้นใหม่ และส่งต่อสัญญาณทางอารมณ์ (พลังจิต) ให้ร่างกาย สร้างความจำระยะยาว เมื่อทางเลือกนั้นกลายเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เราไม่มีวันลืม....
ชีววิทยาของเราจะเปลี่ยนไป
อดีตจะไม่มีอีกต่อไป
ร่างกายปัจจุบันขณะของเรากำลังอยู่ในอนาคตใหม่
เราจะไม่ถูก "อดีตจองจำ " อีกต่อไป...
Reference:
Dr.Reneetv.สิ่งนี้ทำให้คุณป่วย.Powerful Affirmations for Good Health and Self-healing. TikTok.
Joe Dispenza. (2563). You Are The Placebo. Making Your Mind Matter. คุณคือพลาซีโบ.ทำความคิดให้ออกฤทธิ์กับสุขภาพ. [ผู้แปล: ติณณ์ อินทพิเชฏฐ์] พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: ซีด ออฟ เลิฟ.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น