เศรษฐศาสตร์แบบพุทธ เล็กอย่างสวยงาม (Small is Beautiful) : ฐานคติของหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน...
เล็กอย่างสวยงาม : อี.เอฟ. ชูมัคเคอร์
"ความมั่งคั่ง มิใช่เครื่องปิดกั้นความหลุดพ้น แต่เป็นความยึดติดกับความมั่งคั่งต่างหาก ที่เป็นอุปสรรค ความยินดี (ฉันทะ) ในสิ่งที่ทำให้เป็นสุข ไม่ได้ปิดกั้นความหลุดพ้น แต่ความอยากได้อยากมี (ตัณหา) ความสุขต่างหาก ที่ขวางกั้น"
เจตจำนงค์ชาวพุทธ...
"เราสามารถนำคุณค่าทางศาสนาและจิตวิญญาณ ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพชน มาผสานประโยชน์ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้เป็นอย่างดี"...
ศาสตร์ของการพัฒนาเศรษฐกิจมี 2 แนวทาง
1. ประเทศที่มีวิถีชีวิตแบบวัตถุนิยมสมัยใหม่ จะสร้างหลักเศรษศาสตร์สมัยใหม่
2. ประเทศที่มีวิถีชีวิตแบบพุทธก็ต้องมีเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ..
ความคิดพื้นฐาน บ่อเกิดของความมั่งคั่ง มาจากแรงงานมนุษย์ จึงมีคนสองกลุ่มที่มีมุมมองต่างกันคือ
นายจ้างมองแรงงาน เป็นต้นทุน ต้องลดให้ได้โดยใช้ ระบบอัตโนมัติมาแทน ทำให้จ่ายค่าแรงถูก...
ลูกจ้างมอง แรงงาน เป็นความเหนื่อยยาก ที่เป็นภาระ ต้องเอาความสุขของตนมาแลก โดยรับค่าจ้าง เป็นสิ่งชดเชยความสุขที่เสียไป..
อุดมคติของนายจ้างคือ การผลิตผลโดยไม่ต้องมีลูกจ้าง
อุดมคติของลูกจ้างคือ การมีรายได้โดยไม่ต้องออกไปรับจ้าง...
นั่นคือ อุดมคติต่อการงานที่ว่า การงานคือสิ่งที่ควรถูกขจัดไปเสียให้หมด
ดังนั้น อะไรที่จะช่วยลดภาระงาน ได้ถือว่า ดี...และวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ "แบ่งงานกันทำ" (แบบโรงงาน)
แต่แนวคิดแบบพุทธ มองว่าบทบาทของการงานมีอย่างน้อย 3 ประการ
1. การงานเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้ศักยภาพและพัฒนาศักยภาพ (อินทรีย์) ในตัว
2. การงานเปิดโอกาสให้มนุษย์เอาชนะอัตตาที่เห็นแก่ตัว ด้วยการทำงานชิ้นเดียวร่วมกันกับผู้อื่น
3. การงานเปิดโอกาสให้ทำความดีและรับใช้ผู้อื่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติและปัจจัยสำคัญของการ (สั่งสมบุญ) ไปเกิดในภพใหม่
อานิสงส์ที่ได้จากทัศนะเยี่ยงนี่มีมากมาย นับไม่ถ้วน...
การให้สินค้าสำคัญกว่าคน ก็มีความหมายพอ ๆ กับอยากมีเวลาว่างอยู่สบาย ๆ โดยไม่ต้องทำงาน แต่แท้จริงแล้ว...
"การทำงานและการหย่อนใจคือ สองส่วนที่เกื้อกูลกันไป และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการมีชีวิต ซึ่งเป็นสองด้านที่ไม่อาจแยกกันได้ เพราะเมื่อใดที่แยกกัน ความสุขก็จะหายไปจากทั้งสองส่วน".....
ชาวพุทธจึงมองว่า การใช้เครื่องจักร (หรือเทคโนโลยี) มี 2 ลักษณะ
1. เครื่องจักรที่ช่วยส่งเสริมทักษะและศักยภาพของมนุษย์
2. เครื่องจักรที่ทำงานแทนมนุษย์ ให้เครื่องจักรเป็นทาสมนุษย์ แต่กลับเป็นว่า มนุษย์ตกอยู่ในฐานะรับใช้ทาส (ไปเสียนี่)
เราจะแยกแยะ 2 กรณีนี้อย่างไร โดยสมมุติว่า เรามีเครื่องจักรผลิตพรมอยู่จำนวนหนึ่ง
1. เครื่องจักร แบบดั้งเดิมเป็นหูกทอพรม ที่ใช้เป็นเครื่องมือผลิต โดยใช้คนทอ หน้าที่ของมันในระหว่างที่คนใช้มันช่วยงานคือ การชำระอุปนิสัยให้สะอาดบริสุทธิ์ หรือหล่อหลอมอุปนิสัย...
2. เครื่องจักร แบบทันสม้บเป็นหูกทอพรมไฟฟ้า เป็นเครื่องจักรทำงานแทนมนุษย์ หน้าที่ของมัน จะไปทำลายวัฒนธรรมของมนุษย์ เพราะมันจะทำงานแทนที่งานสำคัญ ๆ ที่มนุษย์เคยทำ.....
กรณีแรก จึงอยู่บนฐานคติเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ ส่วนกรณีที่สอง เป็นฐานคติแบบเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ที่เน้นวัตถุนิยมและการบริโภค...
หากมนุษย์ไม่มีโอกาสทำงาน เขาย่อมอยู่ในฐานะสิ้นหวัง..ไม่ใช่เพราะไม่มีรายได้..แต่เพราะขาดปัจจัยที่จะมาบำรุงเลี้ยงชีวิต และทำให้มันมีชีวิตชีวา..
"ปัจจัยเหล่านี้ อยู่ในการทำงานอย่างมีวินัย.."
สำหรับเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ เกณฑ์พื้นฐานในการวัดความสำเร็จคือ ปริมาณสินค้าทั้งหมดที่ผลิตได้ในระยะเวลาที่กำหนด..
แต่ชาวพุทธให้ความสำคัญกับอิสรภาพหรือ "ความหลุดพ้น"
การยึดทางสายกลาง ที่ไม่สุดโต่งข้างหนึ่งข้างใด จึงไม่ปฏิเสธความอยู่ดีมีสุขทางกาย..
อุปสรรคของความหลุดพ้นคือ การยึดติดความมั่งคั่ง ไม่ใช่ความมั่งคั่ง ความอยากได้อยากมีความสุข คือทางที่ขวางกั้น ไม่ใช่ความยินดีในสิ่งที่ทำให้เป็นสุข...
กุญแจสำคัญของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธคือ "ความเรียบง่ายไม่เบียดเบียน" เป็นความสมเหตุสมผลที่สุดของรูปแบบการใช้ชีวิต
กล่าวคือ เล็กจนน่าทึ่ง ทว่าผลลัพธ์นั้น น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง....
เป้าหมายของการอยู่ดีมีสุข จึงอยู่ที่การเข้าถึงความอยู่ดีมีสุข สูงสุดด้วยการบริโภคให้น้อยที่สุด...
ถ้าลงแรงกับงานให้มีภาระให้น้อยเท่าไหร่ เราจะยิ่งมีเวลาและแรงเหลือที่จะเอาไว้ทำสิ่งอื่นที่สร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น....
เศรษฐศาสตร์แบบพุทธคือ การศึกษาอย่างเป็นระบบว่า เราจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างไร ด้วยวิธีที่น้อยที่สุด...
การผลิตที่ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น และเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในชุมชน เป็นวิถีเศรษฐศาสตร์ที่สมเหตุสมผลที่สุด...
หาก "ความทันสมัย" อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่คำนึงถึงคุณค่าทางศาสนาและจิตวิญญาณ
ผลลัพธ์ในระดับมหาชน ที่ออกมาเป็นความหายนะ แบบเศรษฐกิจชุมชนล่มสลาย การว่างงานเพิ่มขึ้นทั้งในเขตเมืองและชนบท และมีชนชั้นกรรมาชีพในเขตเมืองและชนบทที่เพิ่มขึ้น
เรายอมรับกันได้หรือเปล่า...
ดังนั้น..
ระหว่างการเติบโตแบบทันสมัย กับความเฉื่อยชาแบบพวกหัวเก่า และความเรียบง่ายไม่เบียดเบียนแบบทางสายกลางนั้น
พุทธศาสนิกชนควรค้นหาให้เจอ...
อ้างอิง :
กระทรวงมหาดไทย.(2566). ทะเบียนครูภูมิปัญญาท้องถิ่นและปราชญ์ชาวบ้านในเขตพื้นที่บริการ องค์การยริหารส่วนตำบลหนองคู พ.ศ. 2566. กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถื่น กระทรวงมหาดไทย.
การติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา(ก.ต.ป.น.) ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนธารทองพิทยาคม อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
สาทิศ กุมาร (2567). Transformative Learning. เรียนเปลี่ยนโลก. [ผู้แปล: นัยนา นาควัชระ]. เชียงใหม่: โอเพ่น โซไซตี้.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ (2567). รายงานผลการติดตาม จรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป น.) ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น