เมื่อไรการศึกษาไทย จะใส่ใจความยั่งยืน เราลงทุนการศึกษาแบบถอนขนนก ไม่คิดถอนขนไก่-Sustain Daily 11 มิ.ย. 2568 • 6:00 น.

          "ถ้าเราอยากเปลี่ยนอนาคต เราต้องเริ่มที่การศึกษา การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการเรียนรู้ ปรับหลักสูตร เปลี่ยนการสอน กว่าจะเห็นผลความเปลี่ยนแปลง ใช้เวลากว่า 10 ปี"

          นี่คือสาเหตุที่เราเห็นประเทศต่าง ๆ เริ่มปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่มา ตั้งแต่ปี 2000 และมีการปรับใหญ่อีกระลอกหนึ่ง ในช่วงปี 2016 เพื่อให้การศึกษาสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 
          "ถ้าเจาะลึกแนวทางของประเทศที่พัฒนาได้เร็ว เขาจะเลือกคนที่เก่งที่สุด ฉลาดที่สุด ทุ่มเทที่สุด มาเป็นรัฐมนตรีศึกษา หรือระดมทีมงานที่ดีที่สุด ที่มีความเชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน มาช่วยกันพัฒนาการศึกษาให้ก้าวกระโดด เพราะผู้นำประเทศเหล่านั้นเชื่อว่าการลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์คือ การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด และต้องทำทันที"

          ตั้งแต่ปี 2000 ประเทศไทยไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงการศึกษาใหญ่ ๆ ที่ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน มีเพียงคำพูด และนโยบายที่เขียนไว้สวยหรูเป็นนามธรรม ที่ผู้ปฏิบัติงานไม่เคยเข้าใจ คงทำแบบเดิม ๆ ได้แต่ถกเถียงกันเรื่องทรงผม เครื่องแบบ ปิดโรงเรียนขนาดเล็ก และการดูแลส้วมให้สะอาดขึ้น

          สิ่งที่หน่วยงานของกระทรวง ศึกษาฯชอบทำมากคือ จัดอีเวนต์เสวนาถอดบทเรียนการศึกษาไทย แล้วบันทึกไว้เฉย ๆ ในบทเรียนที่ถอดจะมีข้ออ้างเสมอว่า การเมืองเปลี่ยนบ่อย ผู้บริหารที่เป็นข้าราชการประจำก็อยู่ไม่นานหมดไฟรอเกษียณ ไม่ต่อเนื่อง หน่วยงานแต่ละแท่งทำงานเป็นไซโลไม่เชื่อมโยงกัน มีการทุจริตประพฤติมิชอบต่าง ๆ ที่ฝังรากลึก และมีข้ออ้างเสมอมาว่า งบประมาณที่เราลงทุนเพื่อการศึกษามีน้อยไม่เพียงพอ

          ทุกครั้งที่เราได้ยินข้ออ้างนี้ จะมีคนสวนกลับมาทันทีว่างบประมาณของกระทรวงศึกษาฯ และกระทรวง อว.มีรวมกันเกือบ 5 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับเอกชนที่ลงทุนผ่านงาน CSR และงบของมูลนิธิต่าง ๆ แล้ว มากกว่า 5% ของ GDP

          จากงานวิจัยขององค์กรระหว่างประเทศ ที่จัดอันดับงบประมาณของประเทศต่าง ๆ ที่ลงทุนในการศึกษา ประเทศไทยถือว่ามีงบลงทุนในการศึกษาสูงเป็นอันดับต้น ๆ เทียบเท่ากลุ่มประเทศในยุโรป และ OECD

          เราเสียเวลาถอนขนนก แทนที่จะถอนขนไก่ ที่เนื้อไม่เท่ากัน … การลงทุนสูงที่ได้ผลตอบแทนต่ำ น่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ให้ผู้บริหารการศึกษาไทยกลับไปคิดใหม่

          "การแบ่งหมวดหมู่งบประมาณ การจัดโครงสร้างหน่วยงาน การจัดการประสิทธิภาพการทำงาน การใช้ AI การตั้งเป้าหมายการศึกษา รวมถึงตัวชี้วัดที่ใช้อยู่คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะให้ทันชาวโลกต้องยกเครื่องใหญ่ทั้งระบบ ตั้งแต่วิธีคิด และวิธีจัดการ"

         งบประมาณเกือบ 5 แสนล้านที่ผ่านสภา มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้เรื่องความยั่งยืนที่จับต้องได้บ้าง

          ประเทศที่ลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อความยั่งยืน ผู้นำของเขาสั่งให้ทำอะไรบ้าง

          ฟินแลนด์และเหล่าประเทศในสแกนดิเนเวีย ใส่ความยั่งยืนไปในหลักสูตรเต็ม ๆ ตั้งแต่เด็ก ให้รักษ์โลก รู้เรื่องภาวะโลกร้อน การจัดการขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียน การจัดการสิ่งแวดล้อมในโลกใหม่ และการสร้างนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
           เยอรมนี เปลี่ยนโรงเรียนปกติเป็นโรงเรียนสิ่งแวดล้อม Environmental School ปลูกฝังนิสัยความยั่งยืนต่าง ๆ ทุกมิติตั้งแต่เล็กจนโต 
           ออสเตรเลีย จัดโครงสร้างหลักสูตรใหม่ทั้งหมด ใส่เรื่องความยั่งยืนเข้าไปในทุกวิชาตั้งแต่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงศิลปะ สร้างแหล่งเรียนรู้ และห้องทดลองในชุมชน ให้เด็ก ๆ ออกไปทำกิจกรรมตามหลักสูตรได้   
            ญี่ปุ่น ปรับหลักสูตรโดยใช้การเป็นพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 เป็นเป้าหมายการศึกษา 
            เนเธอร์แลนด์ เน้นโรงเรียนสีเขียว ที่พัฒนาให้เด็ก ๆ เป็นนักคิด สร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาความยั่งยืน และพัฒนาให้โตมาเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่

           หลายปีมานี้ผมพยายามผลักดันให้โรงเรียนไทย สอนเรื่อง “ความพอเพียง เพื่อความยั่งยืน” ด้วยการเริ่มพัฒนาจากวิธีคิดให้คิดเป็น ให้ลงมือทดลองทำ ให้ปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แต่กระทรวงศึกษาฯกลับเห็น พอเพียงเป็นแค่การทำแปลงผัก 
          ผมพยายามแนะนำให้ Business School ในหลายมหาวิทยาลัย ใส่เรื่องความยั่งยืนให้เข้มข้น เพื่อสร้างนักบริหารรุ่นใหม่ให้ทันโลก แต่มหาวิทยาลัยชื่อดังบางแห่งกลับปิดศูนย์ความยั่งยืนไปแล้ว 
           ผมชักชวนให้คณะสิ่งแวดล้อมในบางมหาวิทยาลัย เปลี่ยนเป็น Climate School เพื่อสร้างคนสู่อาชีพใหม่ ๆ ที่โลกกำลังต้องการ แต่ก็ช้ามาก
          คงต้องหวังพึ่งผู้ที่มีอำนาจ และมีงบประมาณในมือเกือบ 5 แสนล้าน ให้ลุกขึ้นมาเอาจริงเรื่องนี้ รีบเพาะเมล็ดพันธุ์ความยั่งยืนให้อนาคตของประเทศไทยสู้ชาวโลกให้ได้ อย่างน้อยเริ่มจากทำให้เด็กรุ่นนี้คำนวณคาร์บอนของตัวเองให้เป็น พัฒนานิสัยและพฤติกรรมการใช้ชีวิตบน 2 ตันคาร์บอน ต่อปีให้ได้ ช่วยกันสร้างนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน พัฒนาความเป็นผู้ประกอบการที่โลกต้องการ เป็นการเพาะ DNA ของ “ความพอเพียง เพื่อความยั่งยืน” ก่อนจะสายเกินไป.



อ้างอิง : https://www.dailynews.co.th/news/4798641/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...