หรือคุณพร้อมที่จะถูกหลอก ; พลาซีโบส์ยาหลอก (Power of Placebos Not Limited To Belief)

 

       

                        มุมเฉลียง :แปล-เรียบเรียง

                        จาก Deep English Story 

           


     เมื่อเจ็บป่วย เราต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอยู่กระนั้นหรือ ??

      


         หากเรามีชีวิตอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เราอาจโล่งอกเพราะ เปอร์กินส์ แทรคเตอร์(Perkins Tractors) ยังอยู่...


         เขาจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทำจากวัสดุพิเศษ (แต่จริงๆแล้วทำจากแท่งโลหะธรรมดาสองชนิดคือ เหล็กและทองเหลือง

           ดรเอลิชา เปอร์กินส์ (Dr.Elisha Perkins) ผู้ประดิษฐ์เครื่องแทรคเตอร์เปอร์กินส์ กล่าวว่า แท่งเหล็กดังกล่าวสามารถรักษาผู้คนได้ ด้วยการกำจัดของเหลวแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Fluids) ที่ไม่ดีต่อสุขภาพออกไป




           แต่สมาคมการแพทย์คอนเนตติคัต(The Connecticut Medical Society) บอกว่า สิ่งประดิษฐ์ของเขาเป็นเรื่องหลอกลวง….


            ถึงกระนั้น เปอร์กินส์ยังมีผู้คนศรัทธาทั่วประเทศ ขนาดประธานาธิบดีจอร์จวอชิงตัน(George Washington) ถึงกับซื้อแท่งเหล็กราคาแพงนี้ไปชุดหนึ่งเปอร์กินส์อ้างว่า มันรักษาผู้ป่วยมาแล้วถึง 5,000 ราย 

             ซึ่งต่อมาสิ่งประดิษฐ์ของเขาได้แพร่กระจายไปถึงยุโรปอย่างรวดเร็ว..


             อีกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อคือ แพทย์ชาวอังกฤษชื่อ จอห์น เฮย์การ์ธ (John Haygarth) !!!

             หลังจากการเสียชีวิตของ

เปอร์กินส์ เขาได้ตัดสินใจนำสิ่งประดิษฐ์นี้ไปทดสอบ โดยได้ทำการเลียนแบบเครื่องมือนี้ ด้วยการใช้ท่อนไม้แทน และนำไปทดสอบกับคนห้าคนที่มีอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อ 



              ผลปรากฏว่า สี่ในห้าคน รู้สึกดีขึ้น แล้ววันรุ่งขึ้น..เขาได้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ของเปอร์กินส์มาทดสอบ ซึ่งผลลัพธ์ก็เหมือนกัน..

               เขากล่าวว่า “มันคือ พลังที่มหัศจรรย์ของจินตนาการ..”



               ทุกวันนี้ยาหลอก (Placebos) ถูกมองข้ามไป แต่นักวิจัยกลับใช้ทำการทดสอบยาใหม่กับยาหลอกเป็นประจำ 

               ไม่ใช่เพราะว่า ยาหลอกไม่ได้ผล แต่เพราะมันรักษาผู้ป่วยให้หายได้


               พวกเขาทำงานอย่างไร !!

                บางครั้งผลของยาหลอกถูกกำหนดให้เป็นผลของยาเม็ดเฉื่อย (Inert pill) ซึ่งนักวิจัยของฮาร์วาร์ด เทด แคพท์ชัค (Harvard Ted Kaptchuk) กล่าวว่า หากสิ่งใดเฉื่อยมันจะไม่มีผล

             แคพท์ชัคชี้ให้เห็นว่า ผลของ

ยาหลอกเหมือนกับยาจริงเช่นกัน ดูจาก

ผู้ป่วยที่ได้รับมอร์ฟีนแบบไม่รู้ตัว กับแบบรู้ตัว  ประสิทธิภาพของยาจะลดลง 50 % เหมือนกันและพวกเขาต้องการยาเพิ่มเป็นสองเท่า เพื่อบรรเทาปวด..



          อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในการรับยาอย่างรู้เท่าทัน จะทำให้มีประสิทธิผลมากขึ้น เขาไม่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นเพียง พลังแห่งความเชื่อ (power of  not limited to belief) เท่านั้น


           วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือ ยานั้นควรให้มียาจริง  ปนอยู่ ร่วมกับใช้พิธีกรรม สัญลักษณ์และการพบแพทย์ของคนไข้ผสมผสานกัน….

           แคพท์ชัค ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับยาหลอกมานานหลายทศวรรษ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับยาหลอกคือ การหลอกผู้คน (tricking people) 


          ในปี 2009 เขานำผู้ป่วย 80 รายที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน (Bowel Syndrome) มารักษาด้วยยาหลอก.. 

           วิธีการคือ ครึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นได้รับยา และอีกครึ่งหนึ่งไม่ได้รับการรักษาเลยต่างจากการวิจัยยาหลอกที่ส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้การหลอกลวง 

            เขาทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกเข้าใจว่า พวกเขาไม่ได้รับยาจริง ซึ่งพบว่าอาการดีขึ้น



            เมื่อถามว่า ทำไมยาหลอกถึง

ได้ผล แม้ว่าคนป่วยจะรู้ว่าเป็นยาหลอกก็ตาม เขากล่าวว่า….สิ่งล้ำลึกกว่านั้น

คือ ความคิดที่ว่า


          “เมื่อฉันคิดว่า ฉันจะดีขึ้น ฉันจึงดีขึ้น…”

            

            

               

         

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...