ต้นไม้การศึกษา (Educational tree)
สุริยา เผือกพันธ์
กล้วยไม้ออกดอกช้าฉันใด
การศึกษาที่เป็นไป…ใช่เกียจคร้าน
แม้ทั่วโลกจะร่วมกันชูธง “ไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง” เพื่อเพิ่มโอกาสและความเท่าเทียมให้บรรลุชัยในปี 2030 ให้จงได้..
แต่..ปัจจัยต่าง ๆ กลับผันผวนไม่เอื้อ ต่อเจตนารมณ์..ในปี 2019 ยูนิเซฟรายงานว่ามีเด็กอายุ 6-17 ปี ที่ไม่ได้เข้าเรียนอยู่ที่ 285 ล้านคน หรือร้อยละ 17 ของเด็กทั้งหมดในช่วงอายุนี้..
ยิ่งการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมายังซ้ำเติมให้การศึกษาถดถอยลงไปอีก รายงานของธนาคารโลก ระบุว่า ในปี 2020 มีเด็กอย่างน้อย 1 ใน 3 คนทั่วโลก ถูกตัดขาดจากการศึกษาโดยสิ้นเชิง เพราะไม่สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ทางไกลได้…
สำหรับประเทศไทย มีเด็กที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ในปี2563 อยู่ถึง 1,019,000 คนหรือร้อยละ 28.2 ของเด็กอายุ 15-17 ปี ส่วนใหญ่เป็นเด็กยากจนและเด็กพิการ
การศึกษาที่เท่าเทียมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กมีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคม…
ความจริงข้อนี้ ทุกคนรับรู้และต่างก็พยายามทำเพื่อให้เกิดความเสมอภาคกันทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย…
โดยในปี 1960 ถือเป็นจุดเริ่มของยุคบุกเบิกหรือยุคก่อร่างสร้างตัว ของไทย จุดเน้นหรือทิศทางการศึกษาจึงมุ่งไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง
การบริหารการศึกษาจึงมีทิศทางไปที่การดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฏหมาย จึงจะถือได้ว่า เกิดประสิทธิภาพและเป็นความสำเร็จของการบริหารโรงเรียน…
จนมาถึงปี 1990 ซึ่งเป็นยุคที่มีโรงเรียนขยายโอกาสรองรับความต้องการจนเต็มที่แล้ว ทิศทางการจัดการศึกษาจึงเปลี่ยนไป…
เมื่อการศึกษาเดินเครื่องการปฏิรูปเต็มที่..การยกระดับคุณภาพการศึกษาจึงเป็นเป้าหมายใหม่ของการบริหารโรงเรียน
สิบปีของการเปลี่ยนผ่าน (2010) มีบทสรุปจากการศึกษาวิจัยพบว่า ครูจำนวนไม่เกิน ร้อยละ 35 ที่เอาจริงเอาจังกับการพัฒนาตามแนวทางปฏิรูปการเรียนรู้ ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ไม่มีจุดเน้นที่จัดเจนทางนโยบายจากผู้นำระดับสูง
หลังจากนั้นมาอีกสิบปี มีข้อมูลยืนยันด้านคุณภาพของผู้เรียนว่า ยังทรุดลงไปอีกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบ 20 ปี…
งานวิจัยของ Hallinger & Murphy (1985 )ชี้ให้เห็นว่า ระบบการศึกษาไทยยังคงส่งเสริมการบริหารแบบดั้งเดิม (ยุคบุกเบิก) ไม่มีจุดเน้นที่เด่นชัดเกี่ยวกับการส่งเสริมภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน…
และยังพบอีกว่า โรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการ จะมีลักษณะดังนี้
1. บทบาทของ ผอ. โรงเรียนคือ ผู้นำทางวิชาการและการบริหาร
2. โรงเรียนมีพันธกิจทางวิชาการ
3. การยอมรับภาระ รับผิดชอบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน
4. ผอ. โรงเรียนร่วมมือกับครูพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน
5. มีการพัฒนาบรรยากาศที่สนับสนุนการสอนและการเรียนรู้ (Bossert et all, 1982 Hallinger & Murphy, 1985)
40 ปีของไทยกับการพัฒนาความเท่าเทียมทางการศึกษาให้กับเด็ก ด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ของทุกฝ่าย แต่ก็ไปไม่ถึงจุดหมายได้อย่างง่ายดาย..ซ้ำร้ายจุดหมายกลับถอยห่างจากเราไปเรื่อย ๆ เพราะโลกไม่เคยหยุดนิ่ง
จากข้อค้นพบดังกล่าว ในปี 2022 ทั่วโลกได้สรุปบทเรียนและร่วมกันเขียนมาตรฐาน สำหรับผู้บริหารโรงเรียนขึ้นใหม่ จำนวน 14 มาตรฐาน ซึ่งนับว่าเป็นความหวังใหม่ในทศวรรษนี้..มีอะไรบ้าง คงต้องเขียนต่อคราวหน้าให้จบ…..…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น