ก.ต.ป.น. คือผลพวงของการออกแบบระบบเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวก (Designing for impact) ต่อผลลัพธ์ทางการศึกษา..
ก.ต.ป.น.(คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา) เป็นกลุ่มคน กลุ่มงาน (Cluster, set, group) มีบทบาทเชิงคุณธรรมที่อภิวัฒน์มาจากหัวใจ เป็นความรับผิดชอบทางสาธารณะ ผ่านความร่วมมือ (Collaborate) กับโรงเรียนและองค์กรต่าง ๆ ภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันฝ่าวิกฤตการเรียนรู้ ที่ระบบการศึกษาไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้...
ในระบบโรงเรียนภารกิจที่สำคัญนี้ นอกจากครูแล้ว ภาวะผู้นำโรงเรียนคือ บุคคลที่มีความสำคัญในลำดับถัดมาและถือว่าเป็นวาระแห่งทศวรรษนี้ด้วย School Leadership Matters Agenda (Unesco, 2024)
ทำไม (Why)
ในช่วงปี 2015 - 2023 มีการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของโลกที่น่าสนใจหลายประการ กล่าวคือ
1. จำนวนผู้เข้าเรียนและสำเร็จการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายมีมากขึ้น
2. ค่าใช้จ่ายทางการศึกษามีจำนวนลดลง
3. ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กระดับประถมศึกษา มีการหยุดชงัก (Stagnant)
4. ระบบการศึกษาและโรงเรียนกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี สุขภาวะ ความหลากหลาย สภาพแวดล้อม และความไม่เท่าเทียม เป็นต้น
5. ช่องว่างระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติ ตลอดระยะเวลาของการปฏิรูปการศึกษา ปี 1970 - 2020 นั้น ในระหว่างปี 2015 - 2020 มีการชะลอตัวลง....
จากผลการประเมินนโยบาย มีผล
กระทบเกิดขึ้นมากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างช้า ๆ การปฏิรูปด้านอื่นๆ เศรษฐกิจสังคม การเปลี่ยนรัฐบาล การเมือง การขาดแคลนทรัพยกร การจัดลำดับความสำคัญไม่เหมือนเดิม สมรรถนะที่ไม่ยั่งยืน มีผู้ร่วมดำเนินการหลากหลายขึ้น การขาดแคลนข้อมูล และมีผู้ต่อต้านการปฏิรูป เป็นต้น..
ผลกระทบเหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อการปฏิรูปการศึกษาแต่อย่างใด
ภาพ : ทำไมการพัฒนาภาวะผู้นำ
โรงเรียนจึงมีความสำคัญ
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของบริบท (Changing context) ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผลกระทบต่อการศึกษาโดยตรง (Impact on education) กล่าวคือ
1. บริบทภายนอก (External context) เช่น สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและความแตกต่างหลากหลาย มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การสอนและการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงที่มีความต่อเนื่อง มีผลกระทบต่อผู้เชี่ยวชาญ วิธีการสอน และการปฏิบัติในห้องเรียน
2. การเรียนรู้ของนักเรียน (Student learning) เปลี่ยนจากการเน้นความรู้ไปสู่การเน้นทักษะและสมรรถนะ (Skills and Competencies) ทำให้ต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรและวิธีการสอนใหม่
3. การบริหาร (Governance) การบริหารจากบนลงล่าง (Top - down) เผชิญกับความสลับซับซ้อน ทำให้ต้องเปลี่ยนจากการเน้นรูปแบบไปสู่การเน้นที่ผลลัพธ์ การศึกษาต้องการร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ใหม่ ๆ โดยให้ความสำคัญไปที่การมีส่วนร่วม..
4. ความโปร่งใส (Accountabilty) เปลี่ยนจากปริมาณไปสู่ผลกระทบ ระบบการศึกษาจึงต้องใช้หลักฐานและข้อมูลมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นความท้าทายใหม่ของภาวะผู้นำโรงเรียน
ผู้นำโรงเรียนพร้อมไหม ? (Are school leaders ready to face this ?)
ความคาดหวังของภาวะผู้นำโรงเรียนที่มีในระดับต่าง ๆ ประกอบด้วย
- ระดับระบบ (System) การสร้างความตระหนักและการนำนโยบายไปปฏิบัติ
- ระดับท้องถิ่น (Local) การทำงานร่วมกับชุมชน
- ระดับโรงเรียนและห้องเรียน (School and classroom) เป็นการพัฒนาเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ครูสอนและนักเรียนเรียนได้ดีมีความสุข....
ความคาดหวังเหล่านี้ สรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. พัฒนาการเรียนรู้เพื่อเด็กทุกคน
2. ทำงานร่วมกับนักเรียน ครู พ่อแม่เด็ก และชุมชน
3. บริหารการเงิน
4. บริหารบุคคล
5. ใช้ข้อมูลในการจัดการ
ทักษะที่ต้องการสำหรับภาวะผู้นำโรงเรียน (What kind of skills?)
มีภารกิจ 4 ด้านที่ทำให้ภาวะผู้นำโรงเรียนทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
1. กำหนดความคาดหวัง
2. เน้นการเรียนรู้
3. ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน
4. พัฒนาครูและบุคลากร
( รายละเอียดดังภาพ)
ภาพ : งาน 4 ด้านของภาวะผู้นำโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ
จะมีวิธีดำเนินการอย่างไร **
1. ปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐาน
2. มีภาวะผู้นำด้านการเรียนการสอน
3. มีทักษะและสมรรถนะของภาวะผู้นำ
4. ใช้การปฏิบัติเป็นฐาน
5. บริหารตามบริบท
ผลของการปฏิรูปในระยะเวลาที่ผ่านมาปรากฏว่า มีความคาดหวังสูงแต่ลงทุนน้อย
ด้านการปฏิรูปการศึกษาในบริบทโลก (ปี 1970 - 2018) ปรากฏดังนี้..
1. หลักสูตรแกนกลาง ยังคงเหมือนเดิม เป็นเช่นนี้อย่างแพร่หลายในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน
2. มีการเข้าถึงความเสมอภาค รวมทั้งการศึกษาเจริญขึ้น
3. มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปฏิบัติตามนโยบาย โดยมีการปฏิรูปองค์กร จากระบบการบริหารตามประเพณีนิยมไปใช้ข้อมูลและระบบสารสนเทศ.
ด้านนโยบายภาวะผู้นำโรงเรียน (ปี 1990 - 2015)
1.ไม่มีนโยบายที่ให้ความสำคัญเฉพาะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปอื่น ๆ ที่เน้นความเป็นอิสระของหลักสูตร
2. นโยบายภาวะผู้นำโรงเรียน เน้นการฝึกอบรมแบบ In time มีการคัดเลือกและมาตรฐานที่ก้าวหน้า แต่มีความไม่สอดคล้องกับนโยบาย
3. มีความไม่สอดคล้องระหว่างผู้แทนของการปฏิรูปด้านอื่น ๆ กับผู้มีบทบาทสำคัญทางการศึกษา. .
ข้อเสนอต่อความท้าทายใหม่
การใช้แนวทางนโยบายที่สอดคล้องกัน (Coherent policy approach) ดำเนินการดังนี้
1. ฝึกอบรมตั้งแต่แรก ให้กับผู้นำในด้านหลักการของภาวะผู้นำโดยมหาวิทยาลัยจัดทำหลักสูตรระยะสั้นที่ให้ประกาศนียบัตรด้วย
2. การรับสมัครและการคัดเลือก โดยพิจารณาจากทักษะภาวะผู้นำ ให้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีพ
3. มีการติดตาม ชี้แนะ และมีเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้
4. พัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องกับเพื่อน ที่มีการปฏิบัติด้วยกันจริง ๆ
5. มีการใช้แรงจูงใจและพัฒนาอาชีพด้วยการพิจารณาจากการพัฒนาวิชาชีพภาวะผู้นำโรงเรียน
ของ ก.ต.ป.น.
ความสำคัญของบริบท (Context matters)
การออกแบบระบบ เพื่อให้เกิดผล
กระทบเชิงบวกต่อผลลัพธ์ทางการศึกษา ด้วยการบูรณาการบริบทภายนอกเข้ามาเพื่อรับมือกับความท้าทายร่วมกัน เป็นสิ่งอยู่นอกเหนือความมีภาวะผู้นำโรงเรียน เพราะเป็นองค์กรที่ออกแบบมาเพื่อการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยผนวกเข้ากับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีจุดประสงค์เพื่อเสริมสมรรถนะของภาวะผู้นำระบบ (System of school leadership)
บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการเลือกสรรมาจากภาคส่วนต่าง ๆ มาร่วมกันเป็น Cluster ในนาม ก.ต.ป.น.
ภารกิจคือ การยกระดับคุณภาพ
ผู้เรียน เป็นผลลัพธ์สุดท้าย..
หมายเหตุ ** เพื่อให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะ มาตรฐาน ทักษะและสมรรถนะของผู้อำนวยการสถานศึกษาของไทย ก.ค.ศ. ได้ปรับปรุงใหม่แล้วเมื่อปี 2567
อ้างอิง :
Beatriz Pont. (2024). Master Classes: Designing for Impact. School Leadership Matters Summit. (November 5 - 7, 2024.), Unesco.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น