Outlive: ทั้งหิวทั้งห่วง..
เห็นเพื่อน ๆ สนุกสนานรื่นเริง ในงานเลี้ยงแต่ละคราว ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ เพราะดูแต่ละคนแสดงออกถึงความสุขที่ได้รับอย่างเต็มที่ไม่มีลิมิต สง่างามสมวัย...
ในขณะที่บางคนก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ให้ห่วงหาอาทรเป็นที่ยิ่ง...และบางคนก็จากลาไปแล้วอย่างนิรันดร์...
หนึ่งในหลายปัจจัยของการเสียชีวิตที่สำคัญที่สุดของคนวัยเกษียณคือ การล้ม..!!!
พอเลยวัย 65 ปี หรือ 70 ปี สุขภาพของเราจะทรุดโทรมเร็วมาก บางคนต้องเข้า -ออก โรงพยาบาลเป็นกิจวัตร บางคนนั่งรถเข็น บางคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางคนเป็นผู้ป่วยติดเตียง ทศวรรษสุดท้าย จีงเป็นทศวรรษชายขอบ (Marginal decade) ของคนจำนวนไม่น้อย..สิ่งที่เราใช้ยื้อยึดให้ชีวิตยืนยาว ยืดเยื้อออกไปคือ การแพทย์
การแพทย์แบ่งเป็น 3 ยุคคือ
1. Medecine 1.0 ใน 460 ปีก่อนคริสต์กาล เป็นยุค Hippocrates ที่ชื่อว่า " บิดาแห่งการแพทย์"
2. Medicine 2.0 กลาง คศ. ที่ 19 Louis Pasteur พบแบคทีเรียทำให้เน่า Robert Kosch พบจุลินทรีย์ต้นเหตุวัณโรคและอหิวาตกโรค
การแพทย์ยุคนี้ ช่วยรักษาโรคติดต่อ แต่ไม่ทรงประสิทธิภาพ กับโรคเรื้อรัง...
3. Medicine 3.0 มีแนวคิดว่า การป้องกันใช้เงินน้อยกว่าและทรงประสิทธิภาพมากกว่าการรักษา โดยเฉพาะเมื่อวัดกันในเรื่อง การลดความทุกข์ทรมานของมนุษย์
อ้างถึง (ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์ ) ในกาลก่อน หากโลกถึงวันพิพากษา จะปรากฏตัวของ จตุรอาชา ได้แก่ โรคระบาด สงคราม ความอดอยาก และความตาย...
แต่ปัจจุบัน..จตุรอาชา ของโรคเรื้อรังคือ เบาหวาน (Metabolic dysfunction) โรคหัวใจ มะเร็ง และสมองเสื่อม
ทั้งสี่โรคนี้ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั่วโลก กินเวลายาวนานกว่าจะออกอาการและทั้งสี่โรค อาจมีความเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เราคิด
ในบรรดาคนที่มีอายุยืนเกิน 100 ปี จะเริ่มเป็นโรคเหล่านี้ ช้ากว่าคนอื่น ๆ นับทศวรรษ
คนทั่วไป เมื่ออายุ 72 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็ง 20% แต่คนที่อายุยืนเกิน 100 ปี จะมีโอกาสเป็น ต้องรอถึงอายุ 92 ปี
โรคอื่น ๆ อย่างสโตรค (Stroke) หรือสมองเสื่อม ก็เกิดกับคนกลุ่มนี่ ช้ามากหรืออาจจะไม่เกิดเลย...
Metabolic Dysfunction คือ กระบวนการเผาผลาญที่ผิดปกติ เป็นจุดเริ่มต้นของจตุรอาชา...
ประชากรถึง 1 ใน 4 ของโลก มีภาวะนี้อยู่ และเป็นกันตั้งแต่วัยรุ่น
ผลกระทบคือ ภาวะไขมันพอกตับ (Non - alcholic fatty liver disease - NAFLD) หากแย่ลงไปกว่านี้ อาจกลายเป็นภาวะตับอักเสบ
( nonalcoholic steatohepatitis -NASH)
คนผอมอาจมีความเสี่ยงภาวะ
ไขมันพอกตับมากกว่าคนอ้วน...เพราะคนอ้วนมีพื้นที่เก็บไขมันไว้ใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) ซึ่งไม่เป็นอันตราย
ส่วนคนผอม ไม่มีพื้นที่ให้สะสมไขมัน ไขมันจึงไปสะสมอยู่ตามช่องท้องอย่างตับ ที่เรียกว่า Visceral fat (ซึ่งอันตรายมาก)
เหตุผลที่คนยุคนี้ เป็นไขมันพอกตับและเบาหวานมาก เพราะร่างกายของเรา ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาเพื่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ "อุดมสมบูรณ์" ขนาดนี้
บรรพบุรุษของเรา หาอาหารด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชผลอยู่หลายแสนปี...ดังนั้น ร่างกายจึงถูกออกแบบมา ให้เก็บไขมันและน้ำตาลได้ดี เพื่อให้สามารถดึงออกมาใช้ได้ ในยามฉุกเฉิน...
แต่ในยุคเรานี้ เข้าถึงแหล่งอาหารได้ง่าย เราจึงมักบริโภคไขมันและน้ำตาลเยอะ เกินกว่าร่างกายจะระบายหรือใช้ได้ทัน ไขมันจึงพอกตับและน้ำตาลในเลือดสูง
เมื่อใดก็ตาม ที่เติมน้ำตาลมากเกินไปจนล้น วิธีแก้ไขและลดความเสี่ยงก็คือ ระบายออกด้วยการออกกำลังกาย มันจะช่วยดูแลระบบเผาผลาญของเราให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
เห็นเพื่อน ๆ พบกันคราใดแล้วดูต่างคนต่างมีความสุขกัน ได้รับรสแห่งความเอร็ดอร่อย อิ่มหมีพีมัน ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์
ในวัยเกษียณเข่นนี้ ไม่อยากให้ล้ม ทั้งคนและงานเลี้ยงครับ.....
อ้างอิง:
Anantawong Marukpitak. (2024).บทเรียนสำคัญจาก Outlive หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2023 (ตอนที่ 1). Anontawong's Musings. [January 16, 2024]. www.anatawong.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น