ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย จากข้อสังเกตการสะท้อนผล (Reflective observation) ของ ก.ต.ป.น. สพม.บร. ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566/67 Ep.1
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย จากข้อสังเกตการสะท้อนผล (Reflective observation) การติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566/7 ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ 32 ปีการศึกษา 2567
……………………………………………………………
บทนำ
รายงานการพัฒนาโลก ปี 2018 เรื่อง การเรียนรู้เพื่อบรรลุคำมั่นสัญญาของการศึกษาระบุว่า หากไม่มีการเรียนรู้ การศึกษาก็จะไม่สามารถบรรลุคำมั่นสัญญาในการขจัดความยากจนขั้นรุนแรงและสร้างโอกาสและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันสำหรับทุกคนได้ แม้จะเรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว แต่หลายล้านคนก็ยังไม่สามารถอ่าน เขียนหรือทำคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานได้ วิกฤติการเรียนรู้ครั้งนี้ทำให้ช่องว่างทางสังคมกว้างขึ้นแทนที่จะเแคบลง นักเรียนรุ่นเยาว์ที่เสียเปรียบอยู่แล้วจากความยากจน ความขัดแย้ง เพศหรือความพิการจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นโดยขาดทักษะชีวิตขั้นพื้นฐานแม้เพียงแต่น้อย (World bank, 2024)
เมื่อพิจารณาจากการลงทุนด้านการศึกษาของประเทศต่าง ๆ พบว่า การเรียนรู้ยังขาดตกบกพร่อง เหตุผลประการหนึ่งคือ การเรียนรู้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ส่งผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขาดข้อมูลที่ทำให้สามารถดำเนินการได้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังผิดพลาดในโรงเรียนของตนและโรงเรียนชายขอบ โดยไม่สามารถหาวิธีที่เหมาะสมในบริบทนั้น ๆ มาเพื่อให้สามารถปรับปรุงการเรียนรู้ได้ (VOA, 2017)
การศึกษาเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ การเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึงจะช่วยยกระดับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปิดช่องว่างทางสังคม สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ
จากรายงาน Making Teacher Policy Work (2023) ระบุถึงหลุมพราง(Pitfalls) ในการออกแบบและการนำนโนบายครูไปปฏิบัติที่ทำให้ล้มเหลวในการพัฒนาครูให้มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
1. ขาดความรอบคอบในการพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ครูรับรู้และจะตอบสนองนโยบายอย่างไร
2. ล้มเหลวในการรักษาเงื่อนไขสำหรับนโยบายครู เพื่อขับเคลื่อนและรักษาการเปลี่ยแปลงในวงกว้างให้ยั่งยืน
นโยบายที่มีประสิทธิภาพต้องการ การตระเตรียมความพร้อมในการสอน การสร้างพลังและแรงจูงใจ แม้ว่าจะมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้นโยบายที่มีประสิทธิผล แต่การออกแบบและการนำไปสู่การปฏิบัติอย่างถูกต้องยังคงเป็นงานที่ยากจะเข้าใจและเต็มไปด้วยความซับซ้อน (World bank, 2023)
จากเอกสารของธนาคารโลก “Making Teacher Policy Work” (2023). ได้วิเคราะห์คุณลักษณะ 3 ประการ ที่จำเป็นสำหรับโครงการที่ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย “ชัดเจน - ทำได้จริง - และให้ผลตอบแทนที่ดี“ กล่าวคือ
1. ชัดเจนคือ ให้ผู้นำชี้แจงอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร รวมถึงการให้ข้อมูลตอบรับแก่ครู เกี่ยวกับความพยายามที่พวกเขาจะดำเนินจริงและแนวทางในการปรับปรุง
2. สามารถทำได้จริงหมายถึง เริ่มต้นด้วยวิธีง่าย ๆ สื่อการเรียนรู้น่าสนใจและใช้งานได้
3. การให้ผลตอบแทน
3.1 สนับสนุนให้ครูมีเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ เกี่ยวกับความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงหรือมีวิธีการใหม่ได้รับการรับรองและคาดหวังจากผู้นำระดับชาติและผู้นำในระดับท้องถิ่น
3.2 วิธีการดังกล่าวช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าในอาชีพหรือได้รับค่าตอบแทนมากขึ้น
การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางการสอน (Transformational Instruction) โดยพื้นฐานแล้ว การสนับสนุนจากครูด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ครูมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการปฏิบัติของตนเองในระยะยาว หลังจากที่พวกเขาเห็นประโยชน์ จากวิธีการสอนใหม่ ๆ ต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของโรงเรียนและการรับรู้เกี่ยวกับบทบาทของผู้นำทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่นแปลงโดยทั่วไปมาจากการที่ผู้อำนวยการโรงรียนทำหน้าที่บริหารและจัดการราชการ ไปสู่การคาดหวังว่า จะมีการมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกับครูและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ มากขึ้น เพื่อปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน ความคาดหวังเกี่ยวกับรูปแบบของผลลัพธ์เหล่านี้ ถูกกำหนดโดยความชอบธรรมทางสังคมและความเชื่อของหน่วยงานด้านการศึกษาและชุมชนการศึกษา รวมถึงผู้นำเองด้วย (UNESCO, 2024)
ไม่เพียงแต่ครูและผู้บริหารโรงเรียนเท่านั้นที่จำเป็นต้องรวมพลังกัน แต่ยังมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้ประสานงานและเจ้าหน้าที่หน่วยงานสามารถมีส่วนร่วมในการวางแผนแทรกแซงที่กำหนดเป้าหมายได้ (IIEP, 2023 อ้างถึงใน GEMR, 2024/5) ศึกษานิเทศก์คือ เจ้าหน้าที่การศึกษาโดยตำแหน่ง สามารถแสดงความเป็นผู้นำการสอนได้โดยการสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจและสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการมีส่วนร่วมของชุมชน (Maundy et al., 2024 อ้างถึงใน GEMR, 2024/5)
ความต่อเนื่องในความสัมพันธ์ของเขตพื้นที่การศึกษาช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ไว้วางใจ ซึ่งโรงเรียนจะรู้สึกได้รับการสนับสนุน (Burns et al., 2019 อ้างถึงใน GEMR, 2024/5) บุคคลเหล่านี้ เรียกว่า ผู้นำระบบ (System leadership)
ผู้นำระบบที่มีประสิทธิภาพ จะมอบโอกาสในการพัฒนาให้กับครู และผู้บริหาร ซึ่งส่งผลดีต่อแนวทางการสอนและการบริหารจัดการของพวกเขา
แต่การพัฒนาในระยะเวลาที่ผ่านมา มีการใช้โครงการ นโยบายหรือโปรแกรมต่าง ๆ เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจให้กับองค์กรต่าง ๆ ในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งต่างก็ยอมรับเอาการปฏิบัติที่ดีเลิศ (Best practice) ที่รับรองโดยกฏหมาย นโยบาย มาปฏิบัติ แต่กลับเป็นว่า วิธีการเหล่านี้ไม่เหมาะกับประเทศต่าง ๆ ที่นำเอาไปใช้ ซึ่งต่อมาเรียกวิธีการพัฒนาแบบนี้ว่า การลอกเลียนแบบ (Isomorphic mimicry) นำวิธีการปฏิรูปจากภายนอกเข้ามาใช้ ยุทธวิธีการลอกเลียนแบบ เป็นโครงการเฉพาะตัว นโยบายและโปรแกรมที่นำไปสู่กับดักความสามารถ (Captability Traps) ไม่เคยได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง
จากการติดตามการจัดการศึกษาของสำนักงานพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ (2024) พบว่า การเข้าถึงการศึกษาและสำเร็จการศึกษาของคนไทย มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยสัดส่วนเด็กที่เข้าศึกษาในระดับปฐมวัยที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 84.7 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 86.3 ในปี 2562 และในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น มีสัดส่วนผู้สำเร็จการศึกษา เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 91.8 และร้อยละ 90.1 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 98.2 และร้อยละ 96.9 ในปี 2562 ตามลำดับ นอกจากนี้ ความเท่าเทียมทางเพศในการเข้าถึงการศึกษา ของไทยปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเสมอภาคระหว่างเพศ (Gender Parity Index : GPI) มีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ดี “ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของไทยกลับมีแนวโน้มลดลง” เมื่อพิจารณาจากผลคะแนน การทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ของนักเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับที่ต่ำกว้า 50 คะแนน ในเกือบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เมื่อเทียบกับปี 2559 ในขณะที่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีแนวโน้มคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นในวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ลดลงในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งการลดลงของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นผลจากความเหลื่อมล้ำ ในการจัดสรรทรัพยกรทั้งบุคลากรทางการศึกษาอุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ในขณะที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการฝึกอบรมตามเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2561 มีครูที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร (ครูคูปอง) และผ่านเกณฑ์การพัฒนา 274, 264 คน คิดเป็นร้อยละ 77 ของจำนวนครูที่ลงทะเบียนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 175,987 คนหรือร้อยละ 60 ในปีงบประมาณ 2560 (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพันธุ์, 2567)
สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียน ครูเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของโรงเรียน การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นปัญหาแทรกซ้อนเข้ามาในกระบวนการเรียนรู้ (นำมาซึ่งการสูญเสียการเรียนรู้เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 57 ในช่วงก่อนหน้าการระบาด เป็นร้อยละ 70 ในปี 2022) อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และอาจทำให้ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ล้มเหลวในการให้บริการที่มีคุณภาพ
จากรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ประจำปีการศึกษา 2566 พบว่า มาตรฐานที่ 1 ด้านวิชาการ มีผลการประเมินในภาคเรียนที่ 2/2566 คะแนนเฉลี่ยรวม 4.79 โดยมีข้อค้นพบคือ สถานศึกษาพัฒนาตนเอง ตามกรอบการพัฒนางานด้วยกระบวนการ PDCA ทุกด้าน ตัวบ่งชี้ที่มีคะแนนสูงสุดในด้านนี้คือ “No Child Left Behind” NCLB (ไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง) ตลอดจนการน้อมนำพระบรมราโชบาย ด้านการศึกษาในหลวงรัชกาลที่ 10 และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่สถานศึกษามาใช้ ในการขับเคลื่อนการบริหารงานด้านวิชาการในการปฏิรูปกระบวนการจัดการเรียนรู้ ตามแนวทาง Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แก้ปัญหาผลลัพธ์การจัดการเรียนรู้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นคนเก่ง ดีและมีความสุข มีทักษะการดำรงชีวิตแห่งอนาคตได้อย่างมั่นคง
เมื่อนำข้อค้นพบดังกล่าว ไปพิจารณาถึงความสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทย ที่กำหนดไว้ในแผนการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 4 แล้ว พบว่า ผลการติดตาม ฯ โดยรวม ด้านความเสมอภาค NCLB ได้คะแนน 4.49 การปฏิรูปการเรียนรู้ Active Learning ได้คะแนน 4.91 และด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้คะแนน 4.50 ส่วนด้านประสิทธิภาพในการบริหาร ไม่ได้มีการระบุไว้แต่อย่างใด
เพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทหน้าที่และการปฏิบัติของผู้นำระบบ (System leader’s functions and practices) ที่กำหนดไว้หลายประการ เช่น มุ่งเน้นการเรียนรู้ รับประกันว่าเป้าหมายตรงกับหลักสูตร ส่งเสริมการวางแนวทางการติดตามและประเมินผล ให้โรงเรียนรับผิดชอบต่อวัตถุประสงค์และให้การสนับสนุนเมื่อผลลัพธ์ ไม่ตรงตามที่คาดหวัง เป็นต้น
จึงเสนอให้มีการจัดทำนโยบายและการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารโดยเน้นให้มีการน้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษาในหลวงรัชกาลที่ 10 สู่สถานศึกษามาเป็นแนวทาง เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับบริบทของเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาต่าง ๆ รายละเอียดดังนี้
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากข้อสังเกตการสะท้อนผล (Reflective Observation) และข้อมูลจากการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2566/67 ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือ “การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน” และ “การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” โดยเฉพาะภายใต้บริบทความท้าทายหลังโควิด-19 และการปฏิรูปการศึกษาที่ต้องสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบรมราโชบายด้านการศึกษาในหลวงรัชกาลที่ 10 และเป้าหมาย SDG4 ดังนี้
1. นโยบายเสริมสร้างประสิทธิภาพครูและผู้นำระบบ (System Leadership)
วัตถุประสงค์
พัฒนาครูให้มีทักษะการสอนที่ตอบโจทย์บริบทท้องถิ่น และส่งเสริมบทบาทผู้นำระบบ (ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียน) ในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง
แนวทางการดำเนินงาน
- ออกแบบนโยบายครูแบบมีส่วนร่วม
- สำรวจความต้องการและความท้าทายของครูในพื้นที่ผ่านการสนทนากลุ่ม (Focus Group) และแบบสอบถาม เพื่อออกแบบการอบรมที่สอดคล้องกับบริบท เช่น การสอนแบบ Active Learning การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
- จัดตั้ง “เครือข่ายครูผู้นำการสอน (Teacher Champions) ” ในแต่ละสหวิทยาเขต เพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) และเป็นพี่เลี้ยงครูใหม่
- สร้างแรงจูงใจด้วยระบบผลตอบแทนที่ชัดเจน
- ให้เงินเพิ่มพิเศษหรือโอกาสพัฒนาต่อสำหรับครูที่ปรับการสอนตามนโยบาย Active Learning และมีผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเพิ่มขึ้น
- เชื่อมโยงผลงานครูกับเส้นทางอาชีพ (Career Pathway) เช่น การเลื่อนวิทยฐานะแบบยืดหยุ่น
- เสริมพลังผู้นำระบบ
- ฝึกอบรมศึกษานิเทศก์และผู้บริหารโรงเรียนในด้าน การนิเทศเชิงสร้างสรรค์ และ การโค้ช (Coaching) เพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบให้การสนับสนุนแทนการตรวจสอบ
- จัดเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำระบบระดับจังหวัดเพื่อออกแบบนโยบายร่วมกัน
2. นโยบายฟื้นฟูการเรียนรู้หลังโควิด-19 (Learning Recovery Program)
วัตถุประประสงค์
ลดช่องว่างการเรียนรู้ (Learning Loss) และเสริมทักษะพื้นฐานที่ขาดหาย
แนวทางการดำเนินงาน
- จัดทำแผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล (Personalized Learning Plan)
- ใช้ข้อมูลผลสอบ O-NET และการประเมินภายในโรงเรียนเพื่อวิเคราะห์จุดอ่อนของนักเรียนเป็นรายบุคคล
- จัดชั่วโมงเสริมทักษะพื้นฐาน (Remedial Class) ในวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
- ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้แบบผสมผสาน
- พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่รวมแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ (เช่น คลิปการสอนสั้นๆ แบบฝึกหัดปรับพื้นฐาน)
- สนับสนุนอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล
3. นโยบายส่งเสริมความเสมอภาค
(Equity-Based Policy)
วัตถุประสงค์
ปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนชายขอบ
แนวทางการดำเนินงาน
- จัดสรรทรัพยากรแบบพุ่งเป้า (Targeted Resource Allocation)
- เพิ่มงบประมาณให้โรงเรียนในพื้นที่ชนบทหรือโรงเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำเป็นพิเศษ เพื่อซื้อสื่อการสอนและจ้างครูเสริม
- จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับนักเรียนยากจน (Emergency School Grant)
- สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน
- จัดเวทีประชาคมโรงเรียนเพื่อระดมความเห็นจากผู้ปกครองและผู้นำชุมชนเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาในท้องถิ่น
- ส่งเสริมโครงการ "พี่สอนน้อง" โดยให้นักเรียนชั้นสูงติวเสริมให้นักเรียนชั้นต้น
4. นโยบายประเมินผลแบบองค์รวม
(Holistic Assessment)
วัตถุประสงค์
ลดการเน้นผลสอบ (O-NET) เป็นหลัก และประเมินทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
แนวทางการดำเนินงาน
- ปรับระบบประเมินผลโรงเรียน
- เพิ่มน้ำหนักการประเมินทักษะ Soft Skills เช่น การคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และทักษะชีวิต
- สร้างเกณฑ์ประเมินที่สะท้อนการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชั้นเรียน
- พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ (Education Dashboard)
- รวบรวมข้อมูลผลสัมฤทธิ์ ความเหลื่อมล้ำ และความก้าวหน้าของนโยบายในรูปแบบ Real-Time เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจเชิงนโยบายได้ทันการณ์
5. นโยบายวิจัยและพัฒนานวัตกรรมท้องถิ่น (Localized R&D)
วัตถุประสงค์
หลีกเลี่ยงการลอกเลียนแบบนโยบายต่างประเทศ (Isomorphic Mimicry) และส่งเสริมนวัตกรรมที่เหมาะกับบริบท
แนวทางการดำเนินงาน
- ตั้งศูนย์วิจัยการศึกษาเขตพื้นที่
- ศึกษาปัจจัยสำเร็จของโรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ และขยายผลไปยังโรงเรียนอื่น
- ทดลองโครงการนำร่อง (Pilot Project)เช่นการสอนSTEM แบบบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น
- เชื่อมโยงมหาวิทยาลัยกับโรงเรียน
- จัดโครงการวิจัยร่วมระหว่างนักศึกษาครูและโรงเรียนเพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้เฉพาะพื้นที่
กลไกการติดตามและประเมินผล
- จัดตั้งคณะทำงานติดตามนโยบาย (Policy Task Force) ในเขตพื้นที่การศึกษา
- ประเมินผลทุก 6 เดือน โดยใช้ตัวชี้วัดทั้งเชิงปริมาณ (เช่น คะแนน O-NET) และเชิงคุณภาพ (เช่น ความพึงพอใจของครูและนักเรียน)
- นำผลการประเมินมาปรับปรุงนโยบายผ่านกระบวนการ PDCA อย่างต่อเนื่อง
สรุป
นโยบายข้างต้นมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นทาง โดยบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบรมราโชบายด้านการศึกษา และหลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยสากล การดำเนินงานต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งครู ผู้บริหาร นักเรียน และชุมชน เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่ "ไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง" อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น