นักคิดที่ชาญฉลาด (Smart Thinker)


พื้นฐานความคิดของนักวิชาการ
         การมีประสบการณ์มักถูกใช้อ้างอิง เพื่อรับรองความจริงบางอย่างที่บางคนใช้เอ่ยถึงเสมอ..แต่การคิดโดยอ้างอิงแค่ "ประสบการณ์ที่ผ่านมา" ของตัวเอง ไม่จัดว่าเป็นการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ปริมาณความรู้ไม่ได้มีผลใด ๆ ต่อความจริง 
         แต่ทว่า..การพินิจพิเคราะห์ถึงที่มาและวิธีคิดที่นำมาสู่ความรู้ ความจริง นั้น ๆ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์และน่าเชื่อถือมากกว่า..
        วิธีคิดที่ว่านี้คือ วิธีคิดเชิงวิทยาศาสตร์นั่นเอง....  

        วิทยาศาสตร์คือ กระบวนการปรับแก้สมมุติฐาน (ทฤษฎี) ไปทีละเล็กละน้อย เพื่อเดินหน้าขยับเข้าใกล้ความจรืง...(การไปให้ถึงความจริง 100% คือ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้) 
       เมื่อเราขยับเข้าใกล้ความจริง คำอธิบายต่าง ๆ และการคาดเดาใหม่ ๆ จะปรากฏให้เห็นจากสมมติฐาน...

        การตั้งสมมุติฐานเพื่อนำไปสู่การคาดเดา แล้วพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยการทดลองหรือการเฝ้าสังเกต หากเป็นไปตามที่คาดเดา สมมุติฐานก็มีน้ำหนัก ทั้งหมดนี้ถือเป็นกลวิธีหนึ่งของวิทยาศาสตร์
        แต่ตราบใดที่วิทยาศาสตร์ยังไม่มีทางไปถึงความจริงได้ การตอบคำถามเหล่านี้ แบบฟันธงชัดเจนย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย..
        วิทยาศาสตร์คือ การขยับเข้าใกล้ความจรืงเท่านั้น...เป็นการตั้งสมมติฐานขึ้นแล้วหักล้าง จากนั้นก็ตัั้งสมมติฐานขึ้นอีกแล้วหักล้างวนไป ๆ เช่นนี้..

        ให้เราตระหนักเสมอว่า ทั้งหมดนั้นเป็นสมมติฐานที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ ข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ...

         วิทยาศาสตร์สามารถขยายโลกที่เราสัมผัสรับรู้ ให้กว้างออกไปได้แบบไร้ขีดจำกัด โดยใช้การตั้งสมมติฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่า 
         การมองแบบวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้เราทุกคนมองเห็นทะลุปุโปร่ง ตั้งแต่โลกขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงโลกขนาดใหญ่มโหฬาร
         วิทยาศาสตร์จึงหมายถึง กระบวนการขัดเกลาสมมติฐาน เพื่อให้เราเข้าใกล้ความจริง..
         เป็นวิธีคิด ที่ต้องอาศัยการฝึกคิด...
         เริ่มจากการตั้งคำถามและให้นึกสงสัยในเรื่องที่รู้กันทั่วไป ในชีวิตประจำวัน มีสิ่งที่เราเห็นแล้ว รู้สึก "เอ๊ะ" อยู่มากน้อยแค่ไหน..
         แล้วใช้เครื่องมือสืบเสาะหาคำตอบ เครื่องมือที่ว่าคือ "ความเกี่ยวพัน" กับ "เหตุและผล" 

         ความเกี่ยวพันคือ ความสัมพันธ์ประเภท "อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาเหตุและผลลัพธ์" เป็นความสัมพันธ์ที่มองเห็นได้ด้วยตา..
         เหตุและผลคือ ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์ อย่างแท้จริง...
        คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่า ความเกี่ยวพันก็คือ ความสัมพันธ์กัน แบบเหตุและผล..
        การบ่งชี้ว่า เป็นความสัมพันธ์แบบเหตุและผลหรือไม่นั้น ไม่สามารถใช้การเฝ้าสังเกตได้เพียงอย่างเดียว..
        แต่จำเป็นต้องอาศัยการทดลองหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงร่วมด้วย

        สมมติมีคำถามว่า การประเมินคุณภาพการศึกษา (ก.ต.ป.น.) โดยเพิ่มการประเมินรายย่อย (Formative Evaluation) เข้ามาด้วย จะทำให้การศึกษามีคุณภาพสูงขึ้นหรือไม่ 

         A. ขั้นสมมติฐาน (การคาดเดา) 

     วิธีการประเมิน.                ผลลัพธ์
  แบบใหม่- มี Formative     คุณภาพสูง
  แบบเดิม-ไม่มี Formative คุณภาพต่ำ

          B. ขั้นพิสูจน์ข้อเท็จจริง (จริงหรือไม่) 

การใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ความจริง..
         1. จะใช้การพิสูจน์ แค่ความเกี่ยวพันไม่ได้ แต่ต้องทดลอง เพื่อหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลลัพธ์.  
         2. ต้องมีการเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม
             กลุ่มทดลอง - มี Formtive
             กลุ่มควบคุม - ไม่มี Formative 

        "การตั้งสมมติฐานรวมถึงการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลการประเมินสิ่งเหล่านี้ จะต้องผ่านการเขียนเป็นบทความวิจัย ซึ่งเป็นเป็นกฏของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน"

          การประเมินค่าด้วยบทความวิจัย ประกันด้วย กระบวนการ "พิชญพิจารณ์" (Peer review) ก่อนการตีพิมพ์ เพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพ....
          ผลการพิชญพิจารณ์ อาจแสดงผลได้ดังนี้ 
         1. ผลงานน่าเชื่อถือ บทความจะได้รับการตีพิมพ์ 
         2. หากไม่ผ่านการพิจารณา จะต้องทำการทดลองใหม่ เรียกว่า รีไวซ์ (Revise) หรือทดลองซ้ำ 
         กรณีที่บทความ ไม่ผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการวารสาร และไม่ถูกส่งต่อให้คณะกรรมการคณะผู้ตรวจสอบ จะเรียกว่า การปฏิเสธเชิงบรรณาธิการ (Educational Rejection) 
        ผู้ถูกปฏิเสธจะต้องแก้ไขใหม่ตั้งแต่ต้น...หรืออาจส่งไปวารสารอื่น (ที่มีมาตรฐานไม่เหมือนกัน) และอาจได้รับการตีพิมพ์ก็ได้ 

        วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริง แต่เป็นการสร้างสมมติฐานเพื่อเข้าใกล้ความจรืงให้มากที่สุด.. ด้วยหลักการคิดตามหลักเหตุผล

         เนื่องจากการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของสมมติฐานคือ งานของวิทยาศาสตร์ โดยตรง

         คนที่เป็นนักวิจัย ที่มีความเข้าใจหน้าที่ของวิทยาศาสตร์ ย่อมไม่ตำหนิติเตียนกัน (แม้ผลการทดลองหรือพิสูจน์ จะออกมาอย่างไร)
         เพราะไม่มีใครรู้ว่า ความจริงที่สุดนั้นคืออะไร....

        การรู้จักใช้วิจารณญาณ คิดตามหลักเหตุผล อคติหรือการแบ่งแยกหรือแม้กระทั่งสงครามจะไม่เกิดขึ้น หากทุกคนฝึกคิดเชิงวิทยาศาสตร์ให้เป็นนิสัย โลกอันเปี่ยมสันติสุข อาจมาเยือนในสักวันหนึ่ง....







     



          



อ้างอิง:
ทะมหสึ โยชิโมริ. (2565). LIFE SCIENCE. ร่างกายดีระดับเซลล์ [ผู้แปล: อนิษา เกมเผ่าพันธ์ ]. กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง. 

สำนักติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (ม.ป.ป.). คู่มือการดำเนินงาน คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา (ก.ต.ป.น.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.

Matt Andrews, Lant Pritchett, Michael Woolcock. (2012). Escapeing Capability  Traps through Problem Driven Iterative Adaptation (PDIA). Working Papers. Center for International Development at Harvard University. 

The World Bank. (2023). Making Teacher Policy Work. www.World Bank.org

Unesco. (2024). 2024/5 GEM Report: Leadership in education. Lead for learning.

Cr. ภาพถ่ายจากการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ ตามโครงการ Buriram Reform : Smart Camp Smart Classroom (ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ) สำนักงานการศีกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ 32 วันที่ 8 พฤษภาคม 2568.




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...