Schema" (สกีมา) หรือ "โครงสร้างของความรู้: ภาคผนวก


          คำว่า "Schema" (สกีมา) หรือ "โครงสร้างของความรู้" เป็นแนวคิดพื้นฐานในจิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive Psychology) ที่ช่วยอธิบายว่าสมองของเราจัดระเบียบและตีความข้อมูลที่เราได้รับจากโลกภายนอกได้อย่างไร Zaretta Hammond ใช้แนวคิดนี้ในหนังสือ "Culturally Responsive Teaching and The Brain" เพื่ออธิบายว่าวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อโครงสร้างความรู้ในสมองของแต่ละบุคคลอย่างไร
Schema คืออะไร?

       ลองนึกภาพสมองของเราเป็นเหมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือระบบการจัดเก็บไฟล์บนคอมพิวเตอร์ แทนที่จะเป็นข้อมูลที่กระจัดกระจาย สมองจะจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันรวมกันเป็นชุดๆ ซึ่งเราเรียกว่า Schema

     คำจำกัดความ: Schema คือ โครงสร้างความรู้ทางจิตใจ หรือ กรอบแนวคิด ที่ช่วยให้เราจัดระเบียบ ตีความ และทำความเข้าใจข้อมูลใหม่ๆ ที่เราได้รับเข้ามาในสมอง เป็นเหมือน "แผนที่" หรือ "แม่แบบ" ที่เราใช้ในการทำความเข้าใจโลก
       การทำงาน: เมื่อเราเจอข้อมูลหรือสถานการณ์ใหม่ๆ สมองจะพยายามหา Schema ที่มีอยู่แล้วในหน่วยความจำระยะยาวของเรา เพื่อนำมาใช้ในการตีความและทำความเข้าใจข้อมูลนั้นๆ ทำให้เราสามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลักษณะของ Schema
       จัดระเบียบข้อมูล: Schema ไม่ได้เป็นแค่ข้อมูลเดี่ยวๆ แต่เป็นการจัดกลุ่มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน เช่น Schema สำหรับ "บ้าน" อาจจะรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของบ้าน (มีผนัง หลังคา ประตู หน้าต่าง) ฟังก์ชันของบ้าน (อยู่อาศัย พักผ่อน) และประเภทของบ้าน (บ้านเดี่ยว อพาร์ตเมนต์ คอนโด)
 * เป็นนามธรรม: Schema ไม่ใช่แค่ภาพในใจ แต่เป็นแนวคิดที่เป็นนามธรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ตัวอย่างเช่น Schema สำหรับ "บ้าน" ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ แต่ทุกคนก็มีแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับบ้านเหมือนกัน
 * สร้างขึ้นจากประสบการณ์: Schema ถูกสร้างขึ้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตของเรา ผ่านประสบการณ์ การเรียนรู้ และการปฏิสัมพันธ์กับโลกและผู้คนรอบข้าง
 * มีอิทธิพลต่อการรับรู้: Schema ของเรามีอิทธิพลอย่างมากต่อสิ่งที่เราให้ความสนใจ สิ่งที่เราจำได้ และวิธีที่เราตีความสถานการณ์ต่างๆ เรามักจะมองเห็นและจดจำข้อมูลที่สอดคล้องกับ Schema ที่มีอยู่ได้ง่ายกว่า
ประเภทของ Schema
Schema มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่จัดเก็บ เช่น:
 * Person Schemas: โครงสร้างความรู้เกี่ยวกับบุคคลต่างๆ รวมถึงบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และบทบาททางสังคม (เช่น Schema สำหรับ "นักเรียนที่ดี" "ครู" "เพื่อน")
 * Social Schemas (Stereotypes): โครงสร้างความรู้เกี่ยวกับกลุ่มคนหรือสังคม ซึ่งบางครั้งอาจกลายเป็นแบบแผนที่ตายตัวหรืออคติ (เช่น Schema สำหรับ "คนเอเชีย" "คนอเมริกัน" ซึ่งอาจมีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงและอคติ)
 * Self-Schemas: โครงสร้างความรู้เกี่ยวกับตัวตนของเราเอง รวมถึงคุณลักษณะ ความเชื่อ และความสามารถของเรา (เช่น Schema สำหรับ "ฉันเป็นคนขยัน" "ฉันเรียนเก่งคณิตศาสตร์")
 * Event Schemas (Scripts): โครงสร้างความรู้เกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะ (เช่น Schema สำหรับ "การไปร้านอาหาร" "การเข้าเรียน" "การประชุม")
 * Content Schemas: โครงสร้างความรู้เกี่ยวกับหัวข้อหรือเนื้อหาเฉพาะทางวิชาการ (เช่น Schema สำหรับ "แนวคิดเรื่องแรงโน้มถ่วง" "หลักการทางเศรษฐศาสตร์")
Schema กับการเรียนรู้ (ตามแนวคิดของ Zaretta Hammond)
Hammond เน้นย้ำว่า วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการหล่อหลอม Schema ของนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ "วัฒนธรรมส่วนลึก" (Deep Culture) ที่กำหนดวิธีคิดและการประมวลผลข้อมูล
 * วัฒนธรรมสร้าง Schema: ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน (เช่น การเลี้ยงดู รูปแบบการสื่อสาร เรื่องเล่าของชุมชน ค่านิยม) ทำให้สมองของนักเรียนแต่ละคนสร้าง Schema ที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น
   * นักเรียนที่เติบโตมาในวัฒนธรรมที่เน้นการเรียนรู้จากการสังเกตและการปฏิบัติ อาจมี Schema ที่แข็งแกร่งสำหรับการเรียนรู้แบบลงมือทำ
   * นักเรียนที่มาจากวัฒนธรรมที่เน้นการเล่าเรื่องและการสนทนา อาจมี Schema ที่แข็งแกร่งสำหรับการเรียนรู้ผ่านการโต้ตอบและการตีความเรื่องราว
 * ความรู้เดิม (Prior Knowledge): Schema คือรูปแบบที่ความรู้เดิมของนักเรียนถูกจัดเก็บในสมอง
   * เมื่อนักเรียนได้รับข้อมูลใหม่ สมองจะพยายาม "เชื่อมโยง" ข้อมูลใหม่นั้นเข้ากับ Schema ที่มีอยู่เดิม หากมี Schema ที่เกี่ยวข้องและแข็งแกร่ง การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายและเร็วขึ้น
   * หากนักเรียนไม่มี Schema ที่เกี่ยวข้อง หรือมี Schema ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ การเรียนรู้ข้อมูลใหม่จะทำได้ยากขึ้น เพราะสมองไม่มี "ที่" จะจัดเก็บข้อมูล หรืออาจตีความข้อมูลผิดพลาด
 * การสร้าง "นั่งร้าน" ทางวัฒนธรรม: การสอนที่ตอบสนองต่อวัฒนธรรมคือการที่ครูเข้าใจว่านักเรียนแต่ละคนมี Schema ที่แตกต่างกันออกไป และใช้ความเข้าใจนี้เพื่อ "สร้างนั่งร้าน" (Scaffolding) ในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่เข้ากับ Schema เดิมของนักเรียน
   * การกระตุ้น Schema เดิม: ครูควรเริ่มต้นบทเรียนด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนดึง Schema ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาออกมาจากหน่วยความจำระยะยาว เช่น ถามว่า "พวกเธอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?" หรือให้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา
   * การขยายและปรับแก้ Schema: เมื่อนักเรียนได้รับข้อมูลใหม่ หากข้อมูลนั้นสอดคล้องกับ Schema เดิม สมองก็จะทำการ "Assimilation" (การผสมผสาน) คือการนำข้อมูลใหม่ไปรวมกับ Schema เดิม แต่หากข้อมูลใหม่ไม่สอดคล้องกับ Schema เดิม สมองจะต้องทำการ "Accommodation" (การปรับโครงสร้าง) คือการปรับเปลี่ยนหรือสร้าง Schema ใหม่ขึ้นมา ครูมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นักเรียนทำกระบวนการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุป
Schema จึงเป็นเหมือน "แผนที่" ที่สมองใช้ในการนำทางและสร้างความหมายให้กับโลกใบนี้ การที่ครูเข้าใจว่านักเรียนแต่ละคนมีแผนที่ที่แตกต่างกัน (อันเป็นผลมาจากวัฒนธรรมและประสบการณ์) จะช่วยให้ครูออกแบบการสอนที่สามารถ "พูดภาษา" ของแผนที่เหล่านั้น และนำทางให้นักเรียนสร้างแผนที่ใหม่ๆ ที่ซับซ้อนและแม่นยำยิ่งขึ้นได้ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...