การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) และอคติโดยไม่รู้ตัว (Implicit Bias) Ep.6
ประเด็น "การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) และอคติโดยไม่รู้ตัว (Implicit Bias)" ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งและเป็นก้าวแรกที่ครูต้องทำความเข้าใจและจัดการตนเอง ในแนวคิดการสอนที่ตอบสนองต่อวัฒนธรรมของ Zaretta Hammond
Hammond ชี้ให้เห็นว่า แม้ครูจะมีความตั้งใจที่ดีและปรารถนาให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีอคติโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการปฏิบัติต่อนักเรียนบางคน โดยเฉพาะนักเรียนจากภูมิหลังทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติที่แตกต่างออกไป
1. การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness):
การตระหนักรู้ในตนเองของครูคือความสามารถในการทำความเข้าใจ:
* เลนส์ทางวัฒนธรรมของตนเอง: ครูทุกคนเติบโตมาในวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งหล่อหลอมวิธีคิด ความเชื่อ ค่านิยม และความคาดหวัง เราทุกคนมี "เลนส์ทางวัฒนธรรม" ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งส่งผลต่อวิธีที่เรามองโลกและตีความพฤติกรรมของผู้อื่น Hammond เน้นย้ำว่าครูต้องเข้าใจว่าเลนส์ของตนเองแตกต่างจากเลนส์ของนักเรียนบางคนอย่างไร เช่น วิธีการแสดงความเคารพ การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน การแสดงอารมณ์ หรือแม้แต่การตอบสนองต่ออำนาจ
* วัฒนธรรมส่วนลึก (Deep Culture): นอกเหนือจากวัฒนธรรมพื้นผิวที่มองเห็นได้ (เช่น อาหาร ดนตรี เสื้อผ้า) ครูต้องเข้าใจ "วัฒนธรรมส่วนลึก" ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อ คุณค่า บรรทัดฐานทางสังคม และกระบวนการคิดที่ฝังรากลึก การตระหนักว่าวัฒนธรรมส่วนลึกของตนเองอาจแตกต่างจากนักเรียน ช่วยให้ครูเข้าใจว่าทำไมนักเรียนจึงมีปฏิกิริยาหรือแสดงพฤติกรรมบางอย่าง
* ปฏิกิริยาทางอารมณ์ของตนเอง: ครูต้องตระหนักถึง "Cultural Triggers" (สิ่งกระตุ้นทางวัฒนธรรม) คือสถานการณ์หรือพฤติกรรมของนักเรียนที่อาจกระตุ้นให้ครูมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ในเชิงลบโดยอัตโนมัติ (เช่น รู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือผิดหวัง) ซึ่งอาจเกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ครูไม่เข้าใจ การรู้ว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ ช่วยให้ครูสามารถหยุดคิดและตอบสนองอย่างมีสติแทนที่จะตอบสนองโดยอัตโนมัติ
ทำไม Self-Awareness จึงสำคัญ?
* ลดอคติ: เมื่อครูตระหนักถึงเลนส์ทางวัฒนธรรมและอคติของตนเอง ก็จะสามารถเริ่มท้าทายและปรับเปลี่ยนมุมมองเหล่านั้นได้
* ตีความพฤติกรรมนักเรียนได้ถูกต้อง: การเข้าใจว่าพฤติกรรมบางอย่างของนักเรียนอาจเป็นผลมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ความไม่เคารพหรือความเกียจคร้าน ช่วยให้ครูตอบสนองได้อย่างเหมาะสมและเป็นเชิงบวกมากขึ้น
* สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง: เมื่อครูเข้าใจและเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมของนักเรียน ก็จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้ง่ายขึ้น
2. อคติโดยไม่รู้ตัว (Implicit Bias):
อคติโดยไม่รู้ตัวคือ ทัศนคติ อคติ หรือแบบแผน (Stereotypes) ที่เรามีต่อกลุ่มคนบางกลุ่มโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจ การกระทำ และการรับรู้ของเรา แม้เราจะตั้งใจที่จะเป็นคนที่ไม่ลำเอียงก็ตาม
* มันทำงานอย่างไร: สมองของเราถูกออกแบบมาให้ประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดภาระการคิด สมองจะใช้ "ทางลัดทางจิต" (Mental Shortcuts) หรือ "Schema" (โครงสร้างความรู้) ที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์ สื่อ และสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เราอยู่ตลอดชีวิต อคติโดยไม่รู้ตัวเหล่านี้มักจะถูกสร้างขึ้นในจิตใต้สำนึก
* ผลกระทบในห้องเรียน: อคติโดยไม่รู้ตัวของครูสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนจากกลุ่มที่ถูกชายขอบ:
* ความคาดหวังของครู: ครูอาจมีความคาดหวังที่ต่ำกว่าต่อนักเรียนบางคนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจนำไปสู่การให้งานที่ง่ายกว่า ให้ข้อเสนอแนะน้อยลง หรือให้โอกาสในการมีส่วนร่วมน้อยลง (Pygmalion Effect / Rosenthal Effect)
* การประเมินผล: อคติอาจส่งผลต่อการให้คะแนน การประเมินพฤติกรรม หรือแม้กระทั่งการตีความผลการเรียนรู้ของนักเรียน
* การลงโทษทางวินัย: มีงานวิจัยจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่านักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มมักถูกลงโทษทางวินัยมากกว่าและรุนแรงกว่านักเรียนกลุ่มอื่นสำหรับพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรับรู้และตีความพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากอคติโดยไม่รู้ตัว
* ปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน: ครูอาจมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนบางคนมากกว่า ให้เวลาตอบคำถามนานกว่า หรือใช้ภาษาที่แตกต่างกันโดยไม่รู้ตัว
* การมองเห็นศักยภาพ: ครูอาจมองข้ามหรือประเมินค่าความสามารถทางปัญญาของนักเรียนบางคนต่ำเกินไป ทำให้ไม่สามารถผลักดันพวกเขาได้อย่างเต็มศักยภาพ
การจัดการอคติโดยไม่รู้ตัว:
Hammond ไม่ได้บอกว่าครูต้องกำจัดอคติโดยไม่รู้ตัวให้หมดไป เพราะเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ แต่เน้นที่การ ตระหนักรู้และจัดการกับมัน เพื่อลดผลกระทบเชิงลบ:
* การสะท้อนตนเอง (Self-Reflection): ครูควรฝึกฝนการสะท้อนตนเองอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน พฤติกรรมการสอน และความคาดหวังที่มีต่อกลุ่มนักเรียนต่างๆ
* การแสวงหาข้อมูล: ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและภูมิหลังของนักเรียนที่แตกต่างจากตนเอง เพื่อขยายความเข้าใจและท้าทายแบบแผนเดิมๆ
* การตั้งคำถามกับสมมติฐาน: เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ทำให้รู้สึกขัดใจ ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "พฤติกรรมนี้หมายความว่าอะไรในบริบททางวัฒนธรรมของนักเรียน?" แทนที่จะด่วนตัดสิน
* ใช้เครื่องมือช่วยลดอคติ: เช่น
* SODA Strategy (Stop, Observe, Detach, Awaken):
* Stop (หยุด): เมื่อรู้สึกถึงปฏิกิริยาทางอารมณ์หรือตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
* Observe (สังเกต): สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนและปฏิกิริยาของตนเองอย่างเป็นกลาง
* Detach (ถอดถอน): แยกแยะอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวออกจากการตีความสถานการณ์
* Awaken (ตื่นรู้): เลือกตอบสนองอย่างมีสติและเหมาะสมกับสถานการณ์
* Implicit Association Tests (IATs): การทำแบบทดสอบเหล่านี้สามารถช่วยให้ครูตระหนักถึงอคติโดยไม่รู้ตัวที่ตนเองมี (แม้ว่า IATs จะมีข้อจำกัดและไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี)
* การรับฟังข้อเสนอแนะจากเพื่อนร่วมงานหรือนักเรียน: การเปิดใจรับฟังมุมมองจากผู้อื่นเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเอง
* มุ่งเน้นการสร้าง "Learning Partnership": เมื่อครูสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจกับนักเรียนแต่ละคนอย่างแท้จริง อคติโดยไม่รู้ตัวจะมีผลกระทบน้อยลง เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวจะช่วยให้ครูมองเห็นนักเรียนในฐานะบุคคลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่แค่เป็นตัวแทนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
โดยสรุป การตระหนักรู้ในตนเองและอคติโดยไม่รู้ตัวเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครูที่ต้องการสอนอย่างตอบสนองต่อวัฒนธรรม มันคือการทำงานกับ "ภายใน" ของครูก่อนที่จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายกับ "ภายนอก" ในห้องเรียนและกับนักเรียนได้อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น