สาเหตุของงานปลอม (Fake Work) ในวงการศึกษาไทย- ศุภโชค ปิยะสันต์ Ep.3
คุณศุภโชค ปิยะสันต์ ได้วิเคราะห์และให้รายละเอียดเกี่ยวกับ สาเหตุของงานปลอม (Fake Work) ในวงการศึกษาไทยไว้อย่างลึกซึ้งในหนังสือ "Stop Fake Work in Education" โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้มาจากตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัจจัยเชิงระบบและวัฒนธรรมองค์กรเป็นหลัก ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:
1. ระบบราชการที่เน้นการตรวจสอบเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ
นี่คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่คุณศุภโชคเน้นย้ำ ระบบราชการไทยมักให้ความสำคัญกับการ "ทำตามระเบียบ" และ "การมีหลักฐานครบถ้วน" มากกว่า "การเกิดผลลัพธ์จริง" ที่จับต้องได้กับนักเรียนหรือคุณภาพการศึกษา ทำให้เกิด:
* ตัวชี้วัดที่ไม่เหมาะสม: การกำหนดตัวชี้วัดที่เน้นปริมาณ เช่น จำนวนกิจกรรมที่จัด, จำนวนเอกสารที่จัดทำ, จำนวนชั่วโมงการอบรม แทนที่จะเป็นผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริงของผู้เรียน หรือทักษะที่เพิ่มขึ้น
* การประเมินที่เน้นเอกสาร: ระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน หรือการประเมินสถานศึกษาที่มุ่งเน้นการตรวจเอกสารและรายงาน ทำให้ครูต้องใช้เวลาจำนวนมากไปกับการ "สร้างเอกสาร" เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ แทนที่จะนำเวลาไปพัฒนากระบวนการเรียนการสอน
* ความกลัวการถูกตรวจสอบ: บุคลากรทางการศึกษาเกิดความกลัวว่าหากไม่มีเอกสารหลักฐาน หรือไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนด จะถูกลงโทษหรือถูกตำหนิ จึงจำยอมต้องทำงานปลอมเพื่อป้องกันตนเอง
2. การขาดความเข้าใจในหลักการประเมินที่แท้จริง
ผู้เกี่ยวข้องในระบบการศึกษาหลายระดับ รวมถึงผู้บริหารหรือผู้ประเมิน อาจยังขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า "การประเมินที่ดี" ควรมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา ไม่ใช่แค่การจับผิด หรือการจัดอันดับ ทำให้:
* ประเมินผิดจุด: การประเมินไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของครู แต่กลายเป็นการประเมินความสามารถในการจัดทำเอกสารหรือการทำตามพิธีการ
* เครื่องมือประเมินไม่เหมาะสม: ใช้เครื่องมือหรือเกณฑ์การประเมินที่ซับซ้อน ไม่ยืดหยุ่น และไม่สอดคล้องกับบริบทการทำงานจริง
3. การใช้ตัวชี้วัดที่ไม่เหมาะสม หรือการแปลความหมายที่ผิดเพี้ยน
บางครั้งตัวชี้วัดที่กำหนดขึ้นมาอาจมีเจตนาที่ดี แต่การนำไปปฏิบัติหรือการแปลความหมายกลับผิดเพี้ยนไปจากวัตถุประสงค์เดิม ทำให้งานที่ควรจะเป็นงานจริงกลายเป็นงานปลอม เช่น:
* เน้น "ปริมาณ" มากกว่า "คุณภาพ": เมื่อตัวชี้วัดเน้นจำนวนการจัดกิจกรรม ครูจึงต้องจัดกิจกรรมให้ครบตามจำนวน ไม่ได้คำนึงว่ากิจกรรมนั้นสร้างประโยชน์จริงหรือไม่
* ตีความกฎระเบียบแบบ "สุดโต่ง": การตีความกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินจำเป็น หรือการเพิ่มขั้นตอนยิบย่อยในการปฏิบัติงาน ทำให้เกิดภาระงานเอกสารที่ไม่จำเป็น
4. วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำ "โชว์" หรือ "สร้างภาพ"
ในหลายสถานศึกษาหรือหน่วยงาน มีวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการ "ดูดีในสายตาภายนอก" หรือการ "สร้างผลงานที่จับต้องได้ง่าย" เพื่อนำเสนอผู้บริหารหรือผู้มาตรวจเยี่ยม:
* เน้นพิธีการ: การจัดพิธีเปิด/ปิดงานที่ใหญ่โต การต้อนรับคณะผู้ตรวจเยี่ยมที่เกินความจำเป็น ซึ่งใช้เวลาและทรัพยากรมาก แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาโดยตรง
* ขาดการสื่อสารที่โปร่งใส: เมื่อผู้บริหารหรือผู้ประเมินไม่ได้มองเห็นปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่ การรายงานจึงมักเป็นการ "ประดิษฐ์" ความจริงเพื่อตอบสนองความคาดหวัง
5. การขาดภาวะผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง
ผู้นำในระดับต่างๆ ทั้งผู้บริหารโรงเรียนและผู้บริหารระดับสูง อาจขาดความกล้าหาญในการท้าทายระบบที่ล้าสมัย หรือขาดวิสัยทัศน์ในการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้:
* ยึดติดกับแนวปฏิบัติเดิม: แม้จะรู้ว่างานบางอย่างเป็นงานปลอม แต่ก็ยังคงทำต่อไปเพราะเป็น "ธรรมเนียมปฏิบัติ" หรือ "ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง"
* ขาดการสนับสนุนให้บุคลากรทำงานจริง: ไม่มีการส่งเสริมให้ครูใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือหาวิธีการสอนใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากแนวทางเดิม
โดยสรุปแล้ว คุณศุภโชค ปิยะสันต์ ชี้ว่างานปลอมในวงการศึกษาไม่ได้เกิดจากความตั้งใจที่ไม่ดีของครู แต่เป็นผลผลิตของ ระบบที่กดดัน วัฒนธรรมที่ผิดเพี้ยน และภาวะผู้นำที่ยังไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่แท้จริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น