"Funds of Knowledge" (กองทุนความรู้)
"Funds of Knowledge" (กองทุนความรู้) เป็นแนวคิดที่พัฒนาโดยนักวิจัย Luis Moll, Norma González และเพื่อนร่วมงาน โดยมีสาระสำคัญคือ การตระหนักว่านักเรียนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนจากภูมิหลังทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่หลากหลาย นำความรู้ ทักษะ และประสบการณ์อันทรงคุณค่าที่ได้รับจากครอบครัวและชุมชนมาสู่ห้องเรียน ความรู้เหล่านี้มักถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการให้คุณค่าจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม แต่แท้จริงแล้วเป็น "สินทรัพย์" ที่สามารถนำมาใช้เป็นจุดแข็งในการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนได้
สาระสำคัญของ Funds of Knowledge:
ความรู้ที่สั่งสมและพัฒนาทางวัฒนธรรม: ไม่ใช่แค่ความรู้เชิงวิชาการ แต่รวมถึงความรู้ที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การแก้ปัญหา และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในครอบครัวและชุมชน.
เป็นแหล่งทรัพยากรสำหรับการเรียนรู้: แทนที่จะมองว่านักเรียน "ขาด" บางสิ่งบางอย่างเมื่อเทียบกับมาตรฐานโรงเรียน ครูควรเห็นว่านักเรียนมี "กองทุนความรู้" ที่สามารถนำมาใช้เชื่อมโยงกับเนื้อหาบทเรียนได้.
สร้างสะพานเชื่อมระหว่างบ้านและโรงเรียน: การนำ Funds of Knowledge มาใช้ช่วยลดช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมที่บ้านและวัฒนธรรมของโรงเรียน ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าตนเองและภูมิหลังของตนเองมีคุณค่า.
ส่งเสริมแรงจูงใจและการมีส่วนร่วม: เมื่อนักเรียนเห็นว่าความรู้และประสบการณ์ของตนเองมีคุณค่าและถูกนำมาใช้ในการเรียนรู้ พวกเขาก็จะเกิดแรงจูงใจและมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น.
ครูเป็นผู้เรียนรู้: ครูต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แต่เพียงผู้เดียว มาเป็นผู้ที่เรียนรู้จากนักเรียนและครอบครัวของพวกเขาด้วย.
ตัวอย่างของ Funds of Knowledge ที่ได้รับจากครอบครัวและชุมชน:
Funds of Knowledge สามารถอยู่ในรูปแบบที่หลากหลายมาก เช่น:
ทักษะชีวิตและอาชีพ: การทำอาหาร, การทำสวน/เกษตรกรรม, การซ่อมแซมสิ่งของ, การจัดการเงิน, การค้าขาย, การประมง, งานช่าง (ช่างไม้, ช่างยนต์), การเย็บปักถักร้อย.
ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: การรู้เรื่องพืชสมุนไพร, ภูมิปัญญาเกี่ยวกับสภาพอากาศ, ความเข้าใจเรื่องสัตว์, ความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาป่า/แหล่งน้ำ.
ความรู้ทางวัฒนธรรมและประเพณี: นิทานพื้นบ้าน, เพลงพื้นบ้าน, ดนตรีพื้นเมือง, การเต้นรำ, พิธีกรรม, เทศกาล, ภาษาถิ่น/ภาษาแม่, ประวัติศาสตร์ครอบครัว/ชุมชน.
ทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: การเจรจาต่อรอง, การแก้ปัญหาความขัดแย้ง, การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม, การเป็นผู้นำในกิจกรรมชุมชน.
ความรู้ด้านเทคโนโลยีพื้นบ้าน: การสร้างเครื่องมือทำมาหากิน, การประดิษฐ์ของใช้ในชีวิตประจำวัน.
การนำ Funds of Knowledge มาใช้ในการออกแบบการสอน (พร้อมตัวอย่างในบริบทไทย):
การนำ Funds of Knowledge มาใช้ต้องเริ่มต้นจากการที่ครูตั้งใจที่จะ "ค้นหา" และ "ทำความเข้าใจ" ความรู้เหล่านี้ โดยอาจทำได้หลายวิธี เช่น:
การสำรวจ (Surveys/Questionnaires): แจกแบบสอบถามให้นักเรียนและผู้ปกครองกรอกเกี่ยวกับความสนใจ กิจกรรมที่ทำที่บ้าน ทักษะที่ครอบครัวมี หรืออาชีพของผู้ปกครอง.
การสัมภาษณ์: พูดคุยกับนักเรียนและผู้ปกครองอย่างไม่เป็นทางการ (เช่น ช่วงรับส่งนักเรียน, งานโรงเรียน) หรือจัดเวลาสำหรับการเยี่ยมบ้าน (หากเหมาะสมและได้รับการอนุญาต) เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตและความเชี่ยวชาญของพวกเขา.
การสังเกต: สังเกตกิจกรรมที่นักเรียนมีส่วนร่วมในชุมชน หรือสิ่งที่นักเรียนนำมาเล่า/แสดงในห้องเรียน.
การมอบหมายงานที่สะท้อนชีวิตจริง: ให้นักเรียนทำโครงงานเกี่ยวกับครอบครัว ชุมชน หรืออาชีพของผู้ปกครอง.
เมื่อครูระบุ Funds of Knowledge ได้แล้ว ก็สามารถนำมาบูรณาการกับการเรียนการสอนได้ดังนี้:
ตัวอย่างที่ 1: วิชาวิทยาศาสตร์ (ชั้นประถมศึกษา) - เรื่อง "วัฏจักรชีวิตของพืช"
Funds of Knowledge: นักเรียนในพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่มีประสบการณ์โดยตรงกับการทำนาปลูกข้าวในครอบครัว (การหว่านเมล็ด การปักดำ การดูแล การเก็บเกี่ยว).
การบูรณาการ:
ก่อนสอน: ครูสอบถามนักเรียนว่ามีใครเคยไปช่วยผู้ปกครองทำนาบ้าง มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? ให้นักเรียนนำภาพถ่าย (ถ้ามี) หรือวาดภาพกิจกรรมในนาข้าวมาประกอบการเล่าเรื่อง.
ระหว่างสอน: แทนที่จะใช้ภาพประกอบในหนังสืออย่างเดียว ครูนำรูปภาพ/วิดีโอการทำนาในท้องถิ่นมาให้นักเรียนดู พร้อมทั้งอธิบาย "วัฏจักรชีวิตของต้นข้าว" เปรียบเทียบกับวัฏจักรชีวิตของพืชทั่วไป. ใช้คำศัพท์วิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับคำศัพท์ท้องถิ่นที่นักเรียนคุ้นเคย (เช่น "ข้าวเปลือก" "ข้าวงอก" "ต้นกล้า").
กิจกรรม: ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม วาดภาพหรือสร้างโมเดลจำลองวัฏจักรชีวิตของต้นข้าว และให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเล่าประสบการณ์ที่เคยช่วยผู้ปกครองทำนา. อาจเชิญผู้ปกครองมาเป็นวิทยากรเล่าเรื่องภูมิปัญญาการทำนาให้ฟัง.
ผลลัพธ์: นักเรียนเข้าใจเนื้อหาวิทยาศาสตร์ได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะเชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรงในชีวิตจริง ทำให้เห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน และรู้สึกภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของครอบครัว.
ตัวอย่างที่ 2: วิชาคณิตศาสตร์ (ชั้นมัธยมศึกษา) - เรื่อง "การคำนวณพื้นที่และปริมาตร"
Funds of Knowledge: นักเรียนบางคนมาจากครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายในตลาดท้องถิ่น หรือมีผู้ปกครองเป็นช่างก่อสร้าง/ช่างไม้.
การบูรณาการ:
ก่อนสอน: ครูสอบถามนักเรียนว่าผู้ปกครองทำงานอะไร มีใครเคยช่วยงานที่บ้านบ้าง เช่น ช่วยจัดร้านค้า คิดเงินทอน หรือช่วยวัดขนาดวัสดุในการก่อสร้าง.
ระหว่างสอน:
สำหรับนักเรียนที่บ้านค้าขาย: ครูตั้งโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการคำนวณพื้นที่แผงค้า การจัดวางสินค้าบนชั้นวาง (ปริมาตร) การคำนวณกำไร-ขาดทุนจากสินค้าแต่ละประเภท.
สำหรับนักเรียนที่บ้านเป็นช่าง: ครูตั้งโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการคำนวณปริมาณวัสดุที่ต้องใช้ในการสร้างห้อง (เช่น กระเบื้อง ปูน ทราย) การคำนวณพื้นที่ผนังเพื่อทาสี หรือการออกแบบแปลนห้อง.
กิจกรรม: ให้นักเรียนออกแบบโครงงาน "ร้านค้าในฝัน" หรือ "บ้านในฝัน" โดยใช้ทักษะการคำนวณพื้นที่และปริมาตรที่เรียนมา. อาจให้นำเสนอแนวคิดโดยใช้ข้อมูลจากผู้ปกครองที่เป็นช่างหรือพ่อค้าแม่ค้า.
ผลลัพธ์: นักเรียนเห็นประโยชน์ของคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาในชีวิตจริง ทำให้วิชาที่ดูเหมือนนามธรรมกลายเป็นเรื่องที่จับต้องได้และมีประโยชน์ต่ออาชีพในอนาคต.
ตัวอย่างที่ 3: วิชาสังคมศึกษา (ชั้นประถมศึกษา/มัธยมต้น) - เรื่อง "ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น"
Funds of Knowledge: นักเรียนมีประสบการณ์ร่วมกับประเพณีท้องถิ่น เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ (บุรีรัมย์), ประเพณีลอยกระทง, การลงแขกเกี่ยวข้าว, หรือการทอผ้าไหม.
การบูรณาการ:
ก่อนสอน: ครูให้นักเรียนเล่าถึงประเพณีหรือเทศกาลที่สำคัญในชุมชนของตนเอง ครูอาจสร้างแผนผังความคิด (Mind Map) รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีต่างๆ ที่นักเรียนนำเสนอ.
ระหว่างสอน: ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม "เป็นนักวิจัย" โดยมอบหมายให้ไปสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ความสำคัญ และขั้นตอนของประเพณีท้องถิ่นที่ตนสนใจ. อาจให้นักเรียนรวบรวมภาพถ่าย สิ่งของ หรือเสียงเพลงที่เกี่ยวข้องกับประเพณีนั้นๆ.
กิจกรรม: จัด "นิทรรศการภูมิปัญญาท้องถิ่น" ในห้องเรียนหรือโรงเรียน ให้นักเรียนนำเสนอผลงานจากการวิจัยของตนเอง อาจมีการสาธิตบางส่วนของประเพณี เช่น การฟ้อนรำ การเล่นดนตรีพื้นบ้าน หรือการประดิษฐ์ของใช้พื้นเมือง.
ผลลัพธ์: นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในรากเหง้าและวัฒนธรรมของตนเอง มีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับสังคมและชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ และตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาที่ส่งต่อกันมา.
การใช้ Funds of Knowledge ไม่ใช่แค่การ "เอาเรื่องใกล้ตัวมาสอน" แต่เป็นการมองเห็นคุณค่าในความรู้และประสบการณ์ที่นักเรียนมีอยู่แล้ว และนำมาใช้เป็นจุดแข็งในการสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมาย ลึกซึ้ง และตอบสนองต่อตัวตนของนักเรียนแต่ละคน.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น