โครงร่างรายงาน ก.ต.ป.น. โดยผสานแนวคิด MetaX และหลักฐานเชิงวิจัยที่สามารถลงไปในแต่ละส่วนได้

โครงร่างรายงาน ก.ต.ป.น. ที่สามารถใช้จริงได้ โดยผสานแนวคิด MetaX และหลักฐานเชิงวิจัย ลงไปในแต่ละส่วน ที่สามารถนำไปปรับใช้กับรายงาน ก.ต.ป.น. ของ สพม.บุรีรัมย์ ได้


โครงร่างรายงานการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.)

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์


1. บทนำ

         การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพผู้เรียนและระบบการศึกษาโดยรวม เขตพื้นที่เป็นกลไกเชื่อมนโยบายระดับชาติกับการปฏิบัติจริงในโรงเรียน การพัฒนาที่เป็นระบบจะช่วยให้โรงเรียนสามารถปรับใช้แนวนโยบายให้สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น และตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนได้ตรงจุด
         นอกจากนี้ การพัฒนาในระดับเขตพื้นที่ยังช่วยสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา โดยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก รวมถึงโรงเรียนที่อยู่ในชนบทหรือมีทรัพยากรจำกัด อีกทั้งยังเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา ผ่านการอบรม ติดตาม และสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
         การพัฒนาคุณภาพในระดับเขตพื้นที่ยังช่วยสร้างระบบติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลที่โปร่งใส ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เป็นฐาน ทำให้การประเมินคุณภาพมีความน่าเชื่อถือและนำผลไปใช้ปรับปรุงได้จริง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชน ท้องถิ่น และภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ส่งผลให้การพัฒนามีความยั่งยืน
        กล่าวโดยสรุป การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา คือหัวใจของการสร้างความมั่นคง เสมอภาค และมาตรฐานคุณภาพของการศึกษาไทย เพื่อให้ผู้เรียนก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
          เพื่อให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาบรรลุผลดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้มีคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ขึ้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับเขตพื้นที่และสถานศึกษา โดยทำหน้าที่กำกับและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ตลอดจนสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเน้นผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเป็นเป้าหมายหลัก
        บทบาทสำคัญของ ก.ต.ป.น. ได้แก่ การ ติดตาม การดำเนินงานตามนโยบาย แผนงาน และโครงการของสถานศึกษา เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติอย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ การ ตรวจสอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าทรัพยากรถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล การ ประเมินผล โดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์และเครื่องมือที่น่าเชื่อถือ เพื่อตรวจวัดคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาอย่างแท้จริง และการ นิเทศการศึกษา เพื่อให้คำปรึกษา แนะนำ และสนับสนุนการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
       นอกจากนี้ ก.ต.ป.น. ยังมีบทบาทในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างเขตพื้นที่ โรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
         กล่าวโดยสรุป ก.ต.ป.น. คือกลไกสำคัญที่ทำให้ระบบการศึกษามีคุณภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมุ่งสู่การพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้านและยั่งยืน
       เพื่อเป็นหลักประกันในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้หันมาให้ความสำคัญกับ Evidence-based Practice (EBP) มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอ้างอิงจากฐานข้อมูลวิจัยเชิงประจักษ์อย่าง MetaX ที่รวบรวมผลการศึกษาเชิงเมตา (meta-analysis) ทั่วโลก เพื่อสังเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างเป็นระบบ การใช้หลักฐานดังกล่าวช่วยให้การกำหนดนโยบายและแนวทางการพัฒนาการศึกษามีความแม่นยำ โปร่งใส และน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น สาระสำคัญของแนวโน้มใหม่มีดังนี้
        1. ใช้ฐานข้อมูลวิจัยระดับโลกในการตัดสินใจ MetaX และงานวิจัยสากลให้ข้อมูลเปรียบเทียบผลการศึกษาจำนวนมาก ครอบคลุมทั้งปัจจัยด้านการสอน ผู้เรียน ครู ผู้ปกครอง และระบบการบริหาร ทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถระบุว่า “อะไรมีผลจริง” และ “ขนาดของผลกระทบมากน้อยเพียงใด” (effect size) จึงช่วยลดการใช้นโยบายที่ไม่เกิดผลเชิงประจักษ์
        2. เชื่อมโยงการประเมินคุณภาพกับการเรียนรู้ที่แท้จริง แนวโน้มใหม่ไม่ได้มองการประเมินเพียงเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ แต่เป็นการตรวจสอบว่าปัจจัยเชิงกระบวนการ เช่น การใช้ Active Learning, การให้ฟีดแบ็กที่มีคุณภาพ, การสร้างแรงจูงใจในการเรียน ฯลฯ มีผลต่อคุณภาพผู้เรียนจริงหรือไม่ การอ้างอิงจากเมตา-อะนาไลซิสจึงทำให้การประเมินคุณภาพ “จับต้องได้” และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
         3. การปรับใช้ในบริบทท้องถิ่น
แม้ฐานข้อมูล MetaX จะมาจากหลากหลายประเทศ แต่การนำมาใช้ในไทยจำเป็นต้อง “แปลความ” ให้เข้ากับบริบทของโรงเรียน ชุมชน และทรัพยากรที่มีอยู่ แนวโน้มใหม่จึงมุ่งเน้นการใช้หลักฐานร่วมกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการในโรงเรียน เพื่อให้การพัฒนามีความเหมาะสมจริง
         4. การประเมินเชิงระบบและการมีส่วนร่วม การใช้หลักฐานเชิงวิจัยถูก
บูรณาการเข้ากับกระบวนการนิเทศ ติดตาม และประเมินผล โดยเน้นให้ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และผู้กำหนดนโยบายมีส่วนร่วมตีความข้อมูลเชิงประจักษ์ร่วมกัน ส่งผลให้การประเมินไม่ใช่เพียงการ “ตัดสิน” แต่เป็นการ “พัฒนา” อย่างต่อเนื่อง
        สรุป แนวโน้มใหม่ของ Evidence-based Practice ชี้ให้เห็นว่า การใช้ฐานข้อมูลระดับสากล เช่น MetaX ร่วมกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการในพื้นที่ จะช่วยยกระดับการประเมินคุณภาพการศึกษาให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และน่าเชื่อถือมากขึ้น ที่สำคัญ การประเมินเช่นนี้ยังทำหน้าที่เป็น “เข็มทิศ” ในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและคุณภาพของระบบการศึกษาในระยะยาว (www.Visiblelearningmetax.com) 
       จากรายงานเชิงวิเคราะห์ผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2564 และ 2567 เสนอแนะเชิงวิจัยว่า ควรมีการติดตามผลในระยะยาว เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษาระหว่างปีการศึกษาต่อเนื่อง และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ดังนั้นในระยะต่อไปควรเน้นการยกระดับจาก "ความยอดเยี่ยมเชิงปริมาณ" สู่ "ความก้าวหน้าเชิงคุณภาพลึก" เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อผู้เรียนและสังคม (สุริยา เผือกพันธ์. 2568) 
        จากแนวโน้มใหม่ของ Evidence-based Practice ชี้ให้เห็นว่า การใช้ฐานข้อมูลระดับสากล เช่น MetaX ร่วมกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการในพื้นที่ จะช่วยยกระดับการประเมินคุณภาพการศึกษาให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และน่าเชื่อถือมากขึ้น ที่สำคัญ การประเมินเช่นนี้ยังทำหน้าที่เป็น “เข็มทิศ” ในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและคุณภาพของระบบการศึกษาในระยะยาว (สุริยา เผือกพันธ์, 2568) 
        สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ (สพม.บุรีรัมย์) ภายใต้การกำกับติดตามของคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ได้รายงานผลการดำเนินงานภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 พบว่า โรงเรียนในสังกัดทั้ง 66 แห่ง ได้ยกระดับคุณภาพอย่างก้าวกระโดด โดยมีถึง 64 โรงเรียนได้ระดับคุณภาพ “ยอดเยี่ยม” และ 2 โรงเรียนอยู่ในระดับ “ดีเลิศ” คะแนนเฉลี่ยรวมทั้งเขตพื้นที่อยู่ที่ 4.866 ระดับยอดเยี่ยม สะท้อนถึงความแข็งแรงของระบบการติดตามและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่มุ่งเน้นทั้งผลสัมฤทธิ์และความสุขของผู้เรียนควบคู่กัน
       เมื่อศึกษาประเด็นสำคัญพบว่า ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีคะแนนเฉลี่ยด้านวิชาการ 4.841 ระดับยอดเยี่ยมโดยมีจุดแข็ง ในด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ได้คะแนนสูงสุด 4.968 ขณะเดียวกันยังมีจุดที่ต้องพัฒนาเป็นพิเศษคือ ด้านการส่งเสริมการอ่านทุกที่ทุกเวลา ได้คะแนนต่ำสุด 4.589 
       นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์เชืงลึก ถึงขนาดผลกระทบ (Effect Size) พบว่า 
ด้านวิชาการ  d ≈ 0.43  ผลปานกลาง  น่าพอใจและเหนือค่าอ้างอิงทั่วไป ด้านผลการจัดการเรียนรู้เชิงลึก (Active Learning)  d ≈ 0.59 ใกล้ระดับสูง  เป็นสัญญาณว่า Active Learning ให้ผลชัดเจนและคุ้มค่าที่จะขยายผล ส่วนการส่งเสริมการอ่าน  d ≈ 0.11 ให้ ผลเล็กมาก หมายความว่าคะแนนสูงแต่ความแตกต่างจาก baseline เพียงเล็กน้อย 
       ด้วยเหตุนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์จึงได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยอิงฐานข้อมูลการวิจัยที่แข็งแกร่งจาก MetaX เป็นแนวทางกลยุทธ์มาประยุกต์ใช้กับความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริง โดยผสานแนวคิด MetaX และหลักฐานเชิงวิจัย ลงไปในแต่ละส่วนของการติดตามตรวจสอบประเมินผลและนิเทศการศึกษา เพื่อเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เขตพื้นที่การศึกษาสามารถนำข้อมูลเชิงลึกไปใช้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในบนืบทเฉพาะของเขตพื้นที่ได้....

2. วัตถุประสงค์

1. เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่

ด้านวิชาการ

ด้านงบประมาณ

ด้านบริหารบุคคล

ด้านการบริหารงานทั่วไป

2. เพื่อประยุกต์ใช้หลักฐานเชิงวิจัยจาก MetaX และฐานข้อมูลวิชาการ ในการกำหนดตัวชี้วัดและเกณฑ์การประเมิน

3. เพื่อสะท้อนผลลัพธ์และให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อผู้บริหารเขตพื้นที่และโรงเรียน

4. เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยอิงกระบวนการ Evidence-informed Decision Making


3. วิธีดำเนินงาน

3.1 การกำหนดกรอบการประเมิน

ใช้หลักฐานเชิงวิจัยจาก MetaX เพื่อเลือกตัวชี้วัดที่มีผลโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษา เช่น School Climate, Teacher-Student Relationship, SEL, Engagement, Safety

กำหนดเกณฑ์การแปลความหมายผลการประเมิน เช่น

4.50–5.00 = ยอดเยี่ยม

3.50–4.49 = ดีเลิศ

2.50–3.49 = ดี ฯลฯ

3.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล

ข้อมูลเชิงปริมาณ: แบบสอบถามมาตรฐาน, คะแนนประเมิน, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ข้อมูลเชิงคุณภาพ: การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม (Focus Group)

ใช้เครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (Validity/Reliability)

3.3 การวิเคราะห์ข้อมูล

ใช้สถิติพื้นฐาน: Mean, Median, Standard Deviation

ใช้สถิติเปรียบเทียบ เช่น Paired Sample t-test หรือ ANOVA เพื่อหาความแตกต่างระหว่างปีการศึกษา

วิเคราะห์ข้อมูลโดยอิง Learning Analytics เพื่อระบุแนวโน้มและปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา


4. ผลการวิเคราะห์

รายงานผลคะแนนเฉลี่ยรวมแต่ละปี และเปรียบเทียบแนวโน้ม (2564–2567)

แสดงผลค่าสถิติพื้นฐาน (Mean, Median, SD) เพื่อสะท้อนความสม่ำเสมอของคุณภาพ

รายงานผลการทดสอบทางสถิติ (T-test/ANOVA) ว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่

วิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น ความสัมพันธ์ครูกับนักเรียน, ความปลอดภัยในโรงเรียน, การมีส่วนร่วมของผู้เรียน


5. อภิปรายผล

อธิบายแนวโน้มที่เกิดขึ้น โดยอิงผลสถิติและหลักฐานเชิงวิจัย

หากคะแนนอยู่ในระดับ “ยอดเยี่ยม” อย่างต่อเนื่อง แสดงถึงความยั่งยืนในการพัฒนาคุณภาพ

หากพบความแตกต่างเล็กน้อยแต่ไม่เป็นนัยสำคัญ อาจตีความได้ว่า “ระบบมีความมั่นคงและสม่ำเสมอ”

เชื่อมโยงกับงานวิจัย MetaX เช่น ผลลัพธ์ด้าน School Climate ที่มีความสัมพันธ์สูงกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน

6. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและปฏิบัติ

1. เน้นการสร้างบรรยากาศโรงเรียนเชิงบวก (Positive School Climate)

ส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างครูกับนักเรียน

พัฒนากิจกรรม SEL และการมีส่วนร่วมของนักเรียน

2. ยกระดับระบบนิเทศแบบ Coaching & Mentoring

เน้นการเสริมสร้างศักยภาพครูมากกว่าการตรวจสอบ

ใช้ Feedback Loop เพื่อพัฒนาการสอน

3. พัฒนาฐานข้อมูลและ Learning Analytics

จัดทำ Dashboard ติดตามผลเชิงสถิติและคุณภาพ

สนับสนุนการตัดสินใจของ ก.ต.ป.น. อย่างมีข้อมูลอ้างอิง

4. สื่อสารผลลัพธ์อย่างโปร่งใส

จัดทำรายงานสรุปผลที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน

เปิดเวทีสะท้อนผล (Feedback Forum) เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม


7. สรุป

การประยุกต์ใช้หลักฐานเชิงวิจัยจาก MetaX และฐานข้อมูลวิชาการ ทำให้การติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษาในระดับเขตพื้นที่ มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และเชื่อมโยงกับปัจจัยที่ส่งผลจริงต่อคุณภาพการศึกษา ส่งผลให้การตัดสินใจเชิงนโยบายของ สพม.บุรีรัมย์ มีความแม่นยำและสามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างยั่งยืน


✅ เวอร์ชันนี้เป็น “โครงร่างรายงานเต็มรูปแบบ” ที่สามารถนำไปใช้ในเอกสาร ก.ต.ป.น. ได้ทันที



เอกสารอ้างอิง :

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์. (2564). รายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ปีการศึกษา 2564
_________________. (2567). รายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ปีการศึกษา 2567 

สุริยา เผือกพันธ์.(2568). แนวโน้มใหม่ของการใช้หลักฐานเชิงวิจัย (Evidence-based Practice) จาก MetaX และงานวิจัยสากล เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการประเมินที่น่าเชื่อถือ. https://suriyapunt.blogspot.com 2025/09 

______________ . (2568). รายงานเชิงวิเคราะห์ผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2564 และ 2567. https://suriyapunt.blogspot.com 2025/09
_______________. (2568). พลิกวิกฤตผลสัมฤทธิ์: สพม.บุรีรัมย์ใช้ PDIA/PLC ขับเคลื่อน 66 โรงเรียนสู่คุณภาพยอดเยี่ยม. https://suriyapunt.blogspot.com 2025/09 
 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...