เอกสารสรุปหลักฐานเชิงวิจัยเพื่อใช้พัฒนา “ระบบการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.)” ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568
ความนำ: อ้างถึง รายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีร้มย์ ความละเอียด ดังที่แจ้งแล้วนั้น คณะกรรมการ ก.ต.ป.น. ได้จัดทำ เอกสารสรุปหลักฐานเชิงวิจัยเพื่อพัฒนาระบบ ก.ต.ป.น. ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ (Evidence-Based Summary for Enhancing the K.T.P.N. System in Buriram Secondary Education Service Area Office) เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ในการพัฒนาระบบการติดตาม ตรวจสอบประเมินผลและนิเทศการศึกษา ต่อไป
1. ความเป็นมาและวัตถุประสงค์
เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อสังเคราะห์หลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยเชิงสังเคราะห์ (ปี 2018–2025) เกี่ยวกับ การนิเทศ การติดตาม และการประกันคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ระบบการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ให้มีความเป็นระบบ มีฐานข้อมูลเชิงหลักฐาน และมีความยั่งยืน
2. สาระสำคัญจากหลักฐานเชิงวิจัย
จากการวิเคราะห์งานวิจัยเชิงสังเคราะห์และงานวิจัยเชิงประจักษ์ (Meta-analysis และ Systematic Review) ที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิผลในการยกระดับคุณภาพการศึกษาและระบบนิเทศ ดังนี้
2.1 การนิเทศแบบโค้ชชิ่งที่เน้นครูเป็นศูนย์กลาง
การนิเทศแบบโค้ชชิ่ง (Instructional Coaching) ที่มีวงจรการสังเกต ให้ข้อเสนอแนะ และสะท้อนผลอย่างต่อเนื่อง ช่วยพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ (Wiyono et al., 2022)
2.2 การนิเทศเชิงรุก (Active Supervision)
การนิเทศที่ต่อเนื่องและให้ข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ แทนการตรวจเยี่ยมเชิงรายงานแบบเดิม ช่วยปรับพฤติกรรมการสอนและบรรยากาศในชั้นเรียนให้ดีขึ้น (Gage, 2020)
2.3 การใช้ข้อมูลจากการประเมินเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Formative Assessment & Progress Monitoring)
การประเมินระหว่างเรียนและการติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ครูปรับการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนและยกระดับผลสัมฤทธิ์ได้ (Sortwell, Trimble, & Ferraz, 2024; Dignath-Van Ewijk et al., 2023)
2.4 การใช้ระบบข้อมูลและแดชบอร์ดเพื่อการตัดสินใจ
การมีฐานข้อมูลและแดชบอร์ดที่รวบรวมตัวชี้วัดสำคัญในระดับเขตและโรงเรียน จะช่วยให้ผู้บริหารและผู้กำกับติดตามสามารถใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจและกำหนดทิศทางการพัฒนา (Afriadi, Sari, & Ramli, 2023)
2.5 การพัฒนาวิชาชีพครูและชุมชนแห่งการเรียนรู้ (PLCs)
การพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องที่มีการโค้ชชิ่งและส่งเสริมให้ครูร่วมแลกเปลี่ยนในชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Communities) ช่วยให้การพัฒนาเกิดผลยั่งยืน (Trimble et al., 2024)
3. แนวทางการนำไปใช้พัฒนาระบบ ก.ต.ป.น. ในบริบทของบุรีรัมย์
3.1 การออกแบบตัวชี้วัดบนฐานหลักฐานเชิงวิจัย
กำหนดตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงกับแนวปฏิบัติที่มีผลเชิงประจักษ์ เช่น ความถี่ของการนิเทศแบบโค้ชชิ่ง การใช้การประเมินระหว่างเรียน การให้ข้อมูลป้อนกลับ และบรรยากาศทางการเรียนรู้
3.2 การพัฒนาระบบฐานข้อมูลและแดชบอร์ดกลาง
จัดทำระบบข้อมูลกลางของ ก.ต.ป.น. ที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากโรงเรียนและกลุ่มโรงเรียน เพื่อใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มและตัดสินใจเชิงหลักฐาน
3.3 การปรับระบบนิเทศจาก “ตรวจสอบ” สู่ “โค้ชชิ่ง”
ปรับแนวทางนิเทศจากการตรวจเยี่ยมแบบรายงาน ไปสู่การนิเทศเชิงพัฒนาในรูปแบบวงจรโค้ชชิ่ง (วางแผน–สังเกต–ให้ข้อเสนอแนะ–สะท้อนผล–ติดตามซ้ำ)
3.4 การฝังแนวคิดการประเมินเพื่อพัฒนาในทุกกระบวนการ
ส่งเสริมให้การนิเทศและการประเมินเน้นผลต่อการเรียนรู้มากกว่าการตรวจเอกสาร โดยใช้ข้อมูลจากการประเมินระหว่างเรียนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
3.5 การจัดตั้งและส่งเสริม PLC ระดับโรงเรียนและเขตพื้นที่
สร้างเครือข่ายครูและศึกษานิเทศก์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล และออกแบบแนวทางพัฒนาการสอนร่วมกัน
4. แผนการดำเนินงาน (12–24 เดือน)
ระยะ ช่วงเวลา กิจกรรมหลัก
ระยะที่ 1 เดือนที่ 1–3 กำหนดตัวชี้วัดและเครื่องมือในการนิเทศและประ
เมิน
ระยะที่ 2 เดือนที่ 4–6 พัฒนาฐานข้อมูล / แดชบอร์ดกลาง และอบรมบุคลากร
ระยะที่ 3 เดือนที่ 7–12 ทดลองใช้ระบบโค้ชชิ่งและติดตามผลในโรงเรียนต้นแบบ
ระยะที่ 4 เดือนที่ 13–24 ประเมินผลด้วยการทดสอบ t-test และคำนวณค่า Effect Size เพื่อติดตามความก้าวหน้า
5. การติดตามและประเมินผล (M&E)
5.1 ใช้ตัวชี้วัดทั้งเชิงกระบวนการ (จำนวนครั้งนิเทศ การมีส่วนร่วม PLC การใช้ข้อมูล) และเชิงผลลัพธ์ (ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คะแนนคุณภาพโรงเรียน บรรยากาศองค์กร)
5.2 วิเคราะห์ผลด้วยสถิติพื้นฐาน เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้ t-test หรือ Effect Size (Cohen’s d) เพื่อตรวจสอบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญและเชิงปฏิบัติ
5.3 ผลลัพธ์จากการติดตามจะถูกนำกลับไปใช้ในการปรับปรุงนโยบายและแนวปฏิบัติของ ก.ต.ป.น. ต่อไป
6. บรรณานุกรม
Afriadi, A., Sari, N., & Ramli, M. (2023). Systematic Review of Education Quality Assurance Management in Schools. Sustainability, 15(6), 5002.
Dignath-Van Ewijk, C., et al. (2023). Let Learners Monitor the Learning Content and Their Progress. Frontiers in Education, 8, 1223–1241.
Gage, N. A. (2020). An Evidence-Based Review of Active Supervision. Journal of Positive Behavior Interventions, 22(3), 173–187.
Sortwell, A., Trimble, K., & Ferraz, R. (2024). A Systematic Review of Meta-Analyses on the Impact of Formative Assessment on K–12 Students’ Learning. Sustainability, 16(4), 1856.
Wiyono, B. B., et al. (2022). Implementation of Group and Individual Supervision to Improve Teachers’ Performance. Educational Management Journal, 11(2), 112–129.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น