ตัวอย่างข้อเสนอวิจัย (Research Proposal Template)


ศึกษานิเทศก์ที่เตรียมขอ เลื่อนวิทยฐานะ “เชี่ยวชาญ” ตามเกณฑ์ วPA (หรือเกณฑ์ ก.ค.ศ. ปัจจุบัน) ซึ่งต้องมี ผลงานวิจัยเชิงพัฒนางาน (Research for Professional Development) ที่สะท้อนความเชี่ยวชาญด้าน “การนิเทศการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและใช้หลักฐานเชิงประจักษ์”

ต่อไปนี้คือ ต้นแบบข้อเสนอวิจัย (Research Proposal Template) ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ → เชี่ยวชาญ

หัวข้อ: “การพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอนที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน (Evidence-based Target Supervision Model)”

ตัวอย่างข้อเสนอวิจัย (Research Proposal Template)

1. ชื่อเรื่อง (Title)

การพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอนที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน (Evidence-based Target Supervision Model) เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา...

2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา (Background and Rationale)

การนิเทศการสอนในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องปรับจาก “การติดตามเชิงปริมาณ” ไปสู่ “การพัฒนาที่อิงข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงประจักษ์ (Evidence-based Supervision)” ซึ่งเน้นการใช้ข้อมูลจากผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน (Learning Achievement), ข้อมูลพฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning Analytics), และขนาดของผลการเปลี่ยนแปลง (Effect Size) เพื่อวางแผนการพัฒนาครูอย่างตรงจุด

อย่างไรก็ตาม ในการนิเทศจริงของศึกษานิเทศก์ในพื้นที่ ยังขาดระบบและเครื่องมือที่ช่วยให้การวิเคราะห์และการตัดสินใจในการนิเทศมีหลักฐานรองรับอย่างชัดเจน ส่งผลให้ผลลัพธ์การพัฒนาครูและการเรียนรู้ของผู้เรียนยังไม่เกิด “ผลกระทบเชิงลึก” (Deep Impact) ตามที่คาดหวัง

ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมุ่งพัฒนา “รูปแบบการนิเทศการสอนที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน” (Evidence-based Target Supervision Model) เพื่อให้ศึกษานิเทศก์ ครู และผู้บริหารโรงเรียน มีแนวทางร่วมกันในการใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาการสอนอย่างยั่งยืน

3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objectives)
      3.1 เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการนิเทศการสอนที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน
      3.2 เพื่อพัฒนาและสร้างรูปแบบการนิเทศการสอนที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน (Evidence-based Target Supervision Model)
       3.3 เพื่อทดลองใช้และประเมินประสิทธิผลของรูปแบบดังกล่าวต่อคุณภาพการสอนของครูและผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

4. คำถามวิจัย (Research Questions)
     4.1. ลักษณะและปัจจัยสำคัญของการนิเทศการสอนที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐานควรเป็นอย่างไร?
      4.2. รูปแบบการนิเทศที่พัฒนาขึ้นสามารถส่งผลต่อคุณภาพการสอนของครูและผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนได้จริงหรือไม่?
       4.3. ขนาดของผล (Effect Size) ของการเปลี่ยนแปลงหลังการนิเทศเป็นเท่าใด?

5. ขอบเขตของการวิจัย (Scope of the Study)
ประชากร / กลุ่มตัวอย่าง: ครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา...

พื้นที่ศึกษา: โรงเรียนอย่างน้อย 3 โรงเรียน ที่มีผลการประเมินคุณภาพครูอยู่ในระดับต้องพัฒนา

ระยะเวลา: ภาคเรียนที่ 1 – 2 ปีการศึกษา 2568

6. กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework)
     การนิเทศที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน (Evidence-based Target Supervision) ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน
     6.1 Evidence Base (ฐานข้อมูล):
            1) ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน (Achievement Data)
            2) ข้อมูลพฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning Analytics)
            3) ขนาดของผลการพัฒนา (Effect Size)
            4) ความเห็นสะท้อนจากครู/นักเรียน (Feedback)
     6.2. Supervision Process (กระบวนการนิเทศ):
             1) ใช้หลัก D1–D5 (Discover – Design – Deliver – Double Back – Double Up)
             2) ใช้การนิเทศแบบ Coaching & Mentoring
             3) ประชุมวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน (Data Conference)
     6.3 Outcome (ผลลัพธ์):
            1) ครูมีความสามารถในการใช้หลักฐานวางแผนและปรับการสอน
            2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
            3) ได้รูปแบบการนิเทศที่สามารถขยายผลได้

7. วิธีดำเนินการวิจัย (Methodology)
     7.1 ขั้นตอนการดำเนินงาน
           1) ระยะที่ 1: ศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการ (Needs Assessment)
           2) ระยะที่ 2: พัฒนา “รูปแบบการนิเทศที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน”
           3) ระยะที่ 3: ทดลองใช้รูปแบบ (Implementation)
           4)  ระยะที่ 4: ประเมินผลและปรับปรุง (Evaluation & Reflection)
    7.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
           -แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์
           -แบบสังเกตการสอนและแบบบันทึกการนิเทศ
           - แบบประเมินผลการสอนของครู
           - ระบบฐานข้อมูล Learning Analytics Dashboard
           - สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์: ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, และค่า Effect Size (Cohen’s d)

8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Outcomes)
     8.1 ได้รูปแบบการนิเทศที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐานซึ่งมีประสิทธิผลและสามารถนำไปใช้ได้จริงในพื้นที่
     8.2 ครูมีสมรรถนะด้านการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
     8.3 ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
     8.4 สำนักงานเขตพื้นที่ฯ มีระบบสนับสนุนการนิเทศเชิงข้อมูล (Data-driven Supervision System)

9. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (Significance of the Study)
     เชิงนโยบาย: เป็นแนวทางต้นแบบสำหรับการนิเทศครูในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
      เชิงปฏิบัติ: ช่วยให้ศึกษานิเทศก์ใช้ข้อมูลจริงประกอบการตัดสินใจและพัฒนาครูรายบุคคลได้ตรงจุด
       เชิงวิชาการ: เป็นผลงานเชิงวิจัยที่สะท้อนความเชี่ยวชาญด้านการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการนิเทศ

10. ระยะเวลาและงบประมาณโดยประมาณ (Timeline & Budget)

ระยะเวลา /กิจกรรมหลัก /ผลลัพธ์

เดือนที่ 1–2 สำรวจข้อมูลพื้นฐานและความต้องการ รายงานสภาพปัจจุบันและ NA

เดือนที่ 3–4 ออกแบบและสร้างรูปแบบการนิเทศ Model ฉบับร่าง

เดือนที่ 5–6 ทดลองใช้รูปแบบ ข้อมูลผลลัพธ์จากการนิเทศ

เดือนที่ 7–8 วิเคราะห์ผลและสรุปผลการวิจัย รายงานผลพร้อมค่า Effect Size

เดือนที่ 9 จัดทำคู่มือ / นำเสนอผล รูปแบบและข้อเสนอเชิงนโยบาย

11. บรรณานุกรม (References)
      (ระบุแหล่งอ้างอิง เช่น Hattie, Visible Learning, John Hattie (2009), Ministry of Education, ก.ค.ศ. เกณฑ์วิทยฐานะ พ.ศ. 2566 เป็นต้น)

หมายเหตุเพิ่มเติม

ข้อเสนอนี้ออกแบบให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วPA (ขอเลื่อนวิทยฐานะ “เชี่ยวชาญ”) โดยเน้น
      - ความเชื่อมโยงกับงานประจำ (Routine to Research)
      - การใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-based)
       - ผลกระทบต่อผู้เรียน (Effect Size)
      - การต่อยอดเชิงระบบ (Scaling Up Impact)




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Transformative Learning: Reflections on 40 Years of Head, Heart, and Hands at โรงเรียนธารทองพิทยาคม

การถกเถียงเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กจบลงที่โรงเรียนเมืองแฝกพิทยาคม (The Small Schools Debate Ends at MFP School)

สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องตาย...