เขียนเล่นจนเป็นเรื่อง.
เขียนเล่นจนเป็นเรื่อง..(ระหว่างที่เพื่อนคนหนึ่งส่งภาพไปทักทายเพื่อนอีกคนหนึ่งทางไลน์ อีกคนก็ส่งตอบรับโดยพลัน..แล้วบทกวีก็บันดาลขึ้น)
ต้นเรื่อง...
คนหนึ่งนั่งยล ยวดยาน
คนหนึ่งสำราญ ริมหาด
สองคนยลสองช่อง ดูต่าง
แต่ทะนงองอาจล้ำ ดุจปราชญ์
ผู้อาจอง..
ด้วยหลักการเรียนรู้แนวใหม่มากลืนกลายวิถีการเรียนรู้แบบดั้งเดิม ไปสู่ “การประสานมนุษย์–เครื่องมือ–เครือข่าย” (Human–Tool–Network Integration) เข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน..
ด้วยการเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ร่วมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI Assistants)" ที่เป็นรูปแบบการทำงานร่วมกันเป็นทีมเช่นนี้ ความรู้จึงเป็นผลผลิตร่วม ทางศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของการเรียนรู้แนว Post -Anthropocentric สื่อสารโดยสังเขปดังนี้.
“สองมุมแห่งชีวิต”: วรรณศิลป์ไทยในกระแสปัญญาโลก
โคลง 4 สุภาพบทนี้
คนหนึ่งนั่งยล ยวดยาน
คนหนึ่งสำราญ ริมหาด
สองคนยลสองช่อง ดูต่าง
แต่ทะนงองอาจล้ำ ดุจปราชญ์
ผู้อาจอง...
คือผลงานกวีที่แม้สั้นแต่ลึกซึ้ง สะท้อน “การดำรงอยู่สองระดับ” ของมนุษย์ — ระหว่างโลกภายนอกแห่งความเคลื่อนไหว และโลกภายในแห่งความนิ่งสงบ ซึ่งเป็นประเด็นที่ปรากฏอยู่ในองค์ความรู้ระดับโลก ทั้งด้านปรัชญา จิตวิทยา และศิลปะการดำเนินชีวิต
1. ศิลปะแห่งการมองโลกสองมุม
ภาพ “คนหนึ่งยลยวดยาน” กับ “คนหนึ่งสำราญริมหาด” แสดงการรับรู้โลกต่างระดับ คล้ายแนวคิด Yin–Yang ของจีน ที่เห็นความจริงว่า ความเร่งและความนิ่งเป็นสองขั้วของพลังเดียวกัน มิใช่สิ่งตรงข้าม หากเป็นวงจรสมดุลของชีวิต
ในทางตะวันตก แนวคิดนี้สอดคล้องกับ Dual Awareness ของจิตวิทยาสมัยใหม่ (เช่น งานของ Jon Kabat-Zinn) ที่กล่าวว่ามนุษย์สามารถดำรงอยู่ได้ทั้งในโลกของการกระทำ (Doing Mode) และโลกของการเป็นอยู่ (Being Mode) อย่างกลมกลืน
2. ปัญญาภายในและความองอาจแห่งตน
คำว่า “ทะนงองอาจล้ำ ดุจปราชญ์” มิได้หมายถึงความหยิ่งผยอง แต่คือ Dignity — ศักดิ์ศรีของผู้รู้คุณค่าตนเองในโลกที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสัมพันธ์กับแนวคิด “Authentic Self” ของ Carl Jung ที่ว่า มนุษย์แท้จริงต้องกล้าที่จะเผชิญเงา (Shadow) และดำรงอยู่ในความจริงของตน
ในมิติพุทธปรัชญา นี่คือ “ปัญญาญาณ” (Paññā) ที่เกิดจากการรู้เท่าทันความต่างโดยไม่แบ่งแยก เป็นการตื่นรู้ในธรรมชาติของสรรพสิ่งที่ต่างกันแต่เท่าเทียม
3. ศิลปะการหยั่งรู้ในจิตวิญญาณ
วรรคปิด “ผู้อาจอง...” ทิ้งช่องว่างทางเสียงและความหมายไว้ให้ผู้ฟังเติมด้วยสำนึกของตนเอง ซึ่งเทียบได้กับ Negative Capability ของกวีอังกฤษ John Keats — ความสามารถในการอยู่กับความไม่แน่นอน โดยไม่ต้องรีบหาคำตอบ
ในทางศิลปะการดำรงชีวิต (Existential Aesthetics) ของ Albert Camus หรือ Martin Heidegger บทโคลงนี้เปรียบเสมือนการเผชิญ “ความเป็นอยู่ในโลก” อย่างไม่หนีความจริง แต่มองเห็นความงามในภาวะนั้น
4. จากวรรณศิลป์ไทยสู่สุนทรียะสากล
ด้วยฉันทลักษณ์ที่งดงามของโคลงสี่สุภาพ — การเล่นเสียง การเว้นวรรค และจังหวะสั้นยาว — ผู้ประพันธ์สร้าง “พื้นที่สมาธิ” ให้ผู้อ่านได้หยุดและใคร่ครวญ คล้ายการภาวนาในเชิงศิลป์ (Artful Contemplation) ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินร่วมสมัยทั่วโลก เช่น Leonard Cohen หรือ Thich Nhat Hanh ใช้เป็นแนวทางเชื่อมโยงศิลปะกับจิตวิญญาณ
โดยสรุป,
โคลงนี้คือสะพานระหว่าง ศิลปะไทยแบบจารีต และ องค์ความรู้สากลเรื่องสติและความเป็นปัญญาชนแห่งตน เป็นบทสะท้อนว่า แม้คนสองคนจะมองโลกต่างกัน แต่ต่างก็สามารถเข้าถึง “ความจริง” ได้ ผ่านหนทางของตนเอง
นี่คือสุนทรียะแห่งปัญญา ที่เชื่อมโยงโลกภายในกับโลกภายนอกเข้าด้วยกันอย่างงดงาม
คือผลงานกวีที่แม้สั้นแต่ลึกซึ้ง สะท้อน “การดำรงอยู่สองระดับ” ของมนุษย์ — ระหว่างโลกภายนอกแห่งความเคลื่อนไหว และโลกภายในแห่งความนิ่งสงบ ซึ่งเป็นประเด็นที่ปรากฏอยู่ในองค์ความรู้ระดับโลก ทั้งด้านปรัชญา จิตวิทยา และศิลปะการดำเนินชีวิต
1. ศิลปะแห่งการมองโลกสองมุม
ภาพ “คนหนึ่งยลยวดยาน” กับ “คนหนึ่งสำราญริมหาด” แสดงการรับรู้โลกต่างระดับ คล้ายแนวคิด Yin–Yang ของจีน ที่เห็นความจริงว่า ความเร่งและความนิ่งเป็นสองขั้วของพลังเดียวกัน มิใช่สิ่งตรงข้าม หากเป็นวงจรสมดุลของชีวิต
ในทางตะวันตก แนวคิดนี้สอดคล้องกับ Dual Awareness ของจิตวิทยาสมัยใหม่ (เช่น งานของ Jon Kabat-Zinn) ที่กล่าวว่ามนุษย์สามารถดำรงอยู่ได้ทั้งในโลกของการกระทำ (Doing Mode) และโลกของการเป็นอยู่ (Being Mode) อย่างกลมกลืน
2. ปัญญาภายในและความองอาจแห่งตน
คำว่า “ทะนงองอาจล้ำ ดุจปราชญ์” มิได้หมายถึงความหยิ่งผยอง แต่คือ Dignity — ศักดิ์ศรีของผู้รู้คุณค่าตนเองในโลกที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสัมพันธ์กับแนวคิด “Authentic Self” ของ Carl Jung ที่ว่า มนุษย์แท้จริงต้องกล้าที่จะเผชิญเงา (Shadow) และดำรงอยู่ในความจริงของตน
ในมิติพุทธปรัชญา นี่คือ “ปัญญาญาณ” (Paññā) ที่เกิดจากการรู้เท่าทันความต่างโดยไม่แบ่งแยก เป็นการตื่นรู้ในธรรมชาติของสรรพสิ่งที่ต่างกันแต่เท่าเทียม
3. ศิลปะการหยั่งรู้ในจิตวิญญาณ
วรรคปิด “ผู้อาจอง...” ทิ้งช่องว่างทางเสียงและความหมายไว้ให้ผู้ฟังเติมด้วยสำนึกของตนเอง ซึ่งเทียบได้กับ Negative Capability ของกวีอังกฤษ John Keats — ความสามารถในการอยู่กับความไม่แน่นอน โดยไม่ต้องรีบหาคำตอบ
ในทางศิลปะการดำรงชีวิต (Existential Aesthetics) ของ Albert Camus หรือ Martin Heidegger บทโคลงนี้เปรียบเสมือนการเผชิญ “ความเป็นอยู่ในโลก” อย่างไม่หนีความจริง แต่มองเห็นความงามในภาวะนั้น
4. จากวรรณศิลป์ไทยสู่สุนทรียะสากล
ด้วยฉันทลักษณ์ที่งดงามของโคลงสี่สุภาพ — การเล่นเสียง การเว้นวรรค และจังหวะสั้นยาว — ผู้ประพันธ์สร้าง “พื้นที่สมาธิ” ให้ผู้อ่านได้หยุดและใคร่ครวญ คล้ายการภาวนาในเชิงศิลป์ (Artful Contemplation) ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินร่วมสมัยทั่วโลก เช่น Leonard Cohen หรือ Thich Nhat Hanh ใช้เป็นแนวทางเชื่อมโยงศิลปะกับจิตวิญญาณ
โดยสรุป,
โคลงนี้คือสะพานระหว่าง ศิลปะไทยแบบจารีต และ องค์ความรู้สากลเรื่องสติและความเป็นปัญญาชนแห่งตน เป็นบทสะท้อนว่า แม้คนสองคนจะมองโลกต่างกัน แต่ต่างก็สามารถเข้าถึง “ความจริง” ได้ ผ่านหนทางของตนเอง
นี่คือสุนทรียะแห่งปัญญา ที่เชื่อมโยงโลกภายในกับโลกภายนอกเข้าด้วยกันอย่างงดงาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น