การสร้าง “ปราสาททางปัญญา” (Castel of Wisdom) เพื่อแก้ปัญหา 0–ร–มส ในห้องเรียน
ฉบับกระชับ–ปฏิบัติได้จริง ผสาน PHANOMRUNG Model
ตอนที่ 1: เริ่มจากการลงมือทำ (Action First) – 4 ขั้นตอนหลัก
มุ่งแก้ปัญหา “0–ร–มส” ด้วยการออกแบบการเรียนรู้ร่วมกันแบบหมู่คณะ เน้นการเห็นของจริงในห้องเรียนก่อน แล้วจึงค่อยยกระดับเป็นปราสาททางปัญญา
ขั้นตอนที่ 1 : เห็นปัญหาอย่างเป็นระบบ (Problem Scan)
ครู–นักเรียน–นิเทศ ร่วมกันสำรวจปรากฏการณ์ 0–ร–มส เช่น
• ห้องไหนมีปัญหามากที่สุด
• นักเรียนกลุ่มเสี่ยงคือใคร
• สาเหตุที่ “มองเห็นได้” ในห้องเรียน เช่น ไม่กล้าถาม, ทำงานไม่ทัน, ขาดทักษะพื้นฐาน
บทบาทนักเรียน:
✓ ร่วมสะท้อนว่าตัวเองเรียนรู้แบบไหนติดขัดตรงไหน
✓ เป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง เช่น เป้าหมาย, จุดอ่อน, จุดแข็ง
ขั้นตอนที่ 2 : ออกแบบแนวทางแก้ร่วมกัน (Co-Design for Learning)
ครูไม่ออกแบบคนเดียว แต่ให้ทั้งทีม—รวมทั้งนักเรียน—เป็น “สถาปนิกประสบการณ์การเรียนรู้”
เครื่องมือที่ใช้ได้ เช่น
• Lesson Sketch / Flow-based Lesson
• แผนการเรียนรู้รายบุคคลแบบ Short Cycle
• ระบบเพื่อนช่วยเพื่อน
บทบาทนักเรียน:
✓ เสนอไอเดียว่าอยากเรียนแบบไหน
✓ ร่วมกำหนดกติกาห้องเรียน
✓ เป็นผู้ให้ Feedback ต่อครูและเพื่อน
ขั้นตอนที่ 3 : ลงมือทำในชั้นเรียนจริง (Classroom Execution & Micro-Improvement)
ทีมครูทดลองใช้แนวทางตามที่ออกแบบร่วมกัน และปรับแบบเร็ว (Micro-improve) ทุกสัปดาห์ เช่น
• วงกลมถาม–ตอบ 3 นาที
• การบ้านแบบ “สั้นแต่ได้ผล”
• บทเรียนย่อย 15 นาที
• โจทย์ฝึกคิดคู่
บทบาทนักเรียน:
✓ ทดลองใช้เครื่องมือสะท้อนตนเอง (Self-check)
✓ รายงานการเรียนของตัวเองผ่าน journal / exit ticket
✓ บอกครูว่า “อะไรเวิร์ก–อะไรไม่เวิร์ก”
ขั้นตอนที่ 4 : ติดตามผล–สะท้อน–ยกระดับ (Reflection to Wisdom)
เมื่อเห็นผลลัพธ์จริงในห้องเรียนแล้ว จึงค่อยดึงเข้าสู่ “ระดับปราสาททางปัญญา” ผ่านคำถามใหญ่ เช่น
• สิ่งที่เราทำช่วยลดทุกข์ให้นักเรียนอย่างไร?
• อะไรคือ “คุณค่าแท้” ของวิชาที่เราสอน?
• ครู–นักเรียนได้เติบโตทางจิตใจอย่างไร?
ตอนที่ 2: บูรณาการ PHANOMRUNG Model เข้ากับทั้ง 4 ขั้นตอน
PHANOMRUNG Model ทำหน้าที่ “ยกระดับการปฏิบัติให้เป็นปัญญา” โดยไม่แยกจากการทำงานประจำ
องค์ประกอบ PHANOMRUNGเชื่อมกับขั้นตอนปฏิบัติ
P – Problem Clarity ความชัดของปัญหาใช้ในขั้นที่ 1 สำรวจ 0–ร–มส แบบไม่โทษใคร
H – Human-Centered ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางขั้นที่ 2 ให้นักเรียนเป็นสถาปนิกประสบการณ์
A – Authentic Action การลงมือทำของจริงขั้นที่ 3 ทดลอง–ปรับ–ทดลอง
N – Network Wisdom ปัญญาหมู่ครู–นิเทศ–นักเรียนร่วมคิด ไม่ใช่ทำคนเดียว
O – Observation การเห็นของจริงใช้ Observation Sheet ในห้องเรียน
M – Measurement for Growth วัดเพื่อเติบโตใช้ Growth Rubrics 4 ระดับ
R – Reflection การสะท้อนตัวตนขั้นที่ 4 ถอดบทเรียน
U – Unity of Purpose ความหมายร่วมทำให้ทีมครูเชื่อมใจ–เชื่อมเป้าหมาย
N – Noble Mindset จิตที่ยกระดับเปลี่ยนงานที่เหมือน “ภาระ” ให้กลายเป็น “คุณค่า”
G – Going Forward เดินหน้าต่อเนื่องวงรอบพัฒนา 30 วัน / 45 วัน / 60 วัน
Flow Theory - มิฮาลี ซีซิคเซนท์มิฮาลี
"บิดาแห่งการไหล"
ตอนที่ 3: สะพานเชื่อมจาก “ศาสนะ” → “การเติบโตที่จับต้องได้จริง”
เพื่อให้เป้าหมายสูงส่ง (ลดทุกข์–สร้างปัญญา) เชื่อมกับพฤติกรรมที่วัดได้จริง เลยใช้ Growth Rubrics 4 ระดับ ดังนี้
ระดับ 1 : ตัวเลขพื้นฐาน
✓ จำนวนนักเรียนติด 0–ร–มส ลดลงตามเป้าหมาย
→ วัดผลที่จับต้องได้ระดับโรงเรียน
ระดับ 2 : พฤติกรรมในห้องเรียน
✓ นักเรียนกล้ายกมือถาม–แสดงความคิดเห็นมากขึ้น
→ สะท้อนว่าห้องเรียนปลอดภัยและเปิดพื้นที่เรียนรู้จริง
ระดับ 3 : การเข้าใจตนเอง (Self-understanding)
✓ นักเรียนวิเคราะห์ปัญหาการเรียนของตนเองได้
→ เริ่มเกิดปัญญา “รู้ตน” เป็นรากของคุณธรรมและวินัย
ระดับ 4 : การเกิดนวัตกรรม
✓ ครูที่ทำงานร่วมกันเริ่มสร้างวิธีสอนใหม่ ๆ
→ ปราสาททางปัญญาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างบนฐานของปัญญาหมู่
สรุปย่อสุดท้าย
แนวคิดนี้ทำให้ “ปราสาทพนมรุ้ง” ไม่ใช่อดีตที่ห่างไกล แต่คือ แบบจำลองของการสร้างงานยิ่งใหญ่จากการร่วมแรงร่วมใจของคนจำนวนมาก
ครูกับนักเรียนจึงสามารถร่วมกัน
• เห็นปัญหา
• ออกแบบ
• ลงมือทำ
• สะท้อน
จนกลายเป็น “ปราสาททางปัญญา” ในห้องเรียนจริง ที่ลดปัญหา 0–ร–มส และสร้างการเติบโตทั้งด้านวิชาการและด้านจิตใจไปพร้อมกัน
ส่วนที่ 2 Growth Rubrics 4 ระดับ
ด้านล่างคือ ตาราง Growth Rubrics 4 ระดับ ในรูปแบบที่ครู–ศึกษานิเทศก์–นักเรียนสามารถนำไปใช้ได้ทันที ทั้งในการติดตาม 0–ร–มส, พัฒนาห้องเรียน, และสะท้อนผลหลังสอน (ออกแบบให้กระชับ ใช้ภาษาง่าย ประเมินได้ทั้งรายชั้น–รายห้อง–รายบุคคล)
Growth Rubrics 4 ระดับ (พร้อมใช้งาน)
วัตถุประสงค์: เป็นเครื่องมือวัด “การเติบโต” ของนักเรียน และ การเปลี่ยนแปลงของห้องเรียนตามกระบวนการสร้างปราสาททางปัญญา
ตาราง Rubrics
ระดับการเติบโตคำอธิบายพฤติกรรมที่สังเกตได้จริงหลักฐานที่ใช้ประเมินความหมายเชิงจิตวิญญาณ / PHANOMRUNG
ระดับ 1 ตัวเลขพื้นฐาน (Basic Outcomes) ปัญหา 0–ร–มส ลดลงตามเป้าหมาย หรือมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง• ส่งงานครบขึ้น
สอบผ่านมากขึ้น
มีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้นเล็กน้อย• บันทึกคะแนน
จำนวนงานที่ส่ง
รายงานสรุปผลรายชั้นเรียน
Measurement (M) — การวัดเพื่อการเติบโต ไม่ใช่การลงโทษ
ระดับ 2 พฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning Behaviors)
นักเรียนเริ่มมีความมั่นใจ เริ่มกล้าแสดงออกในห้องเรียน• กล้ายกมือถาม / ตอบ
ทำงานกลุ่มได้ดีขึ้น
ตั้งใจฟังและทำงานต่อเนื่อง• บันทึก Observation
แบบประเมินพฤติกรรมรายสัปดาห์
Feedback จากเพื่อน
Human-Centered (H) — ห้องเรียนปลอดภัย นักเรียนกล้าเติบโต
ระดับ 3 การเข้าใจตนเอง (Self-understanding)
นักเรียนเริ่มรู้ว่าตนเรียนแบบไหน ถนัดอะไร อะไรคือจุดอ่อน• วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เรียนไม่ทันได้
ตั้งเป้าหมายรายสัปดาห์ของตัวเองได้
ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น• Self-Reflection Journal
Exit Ticket รายสัปดาห์
การสนทนาแบบ One-on-One
Reflection (R) — เกิดปัญญาระดับรู้ตน ซึ่งเป็นรากของวินัย
ระดับ 4 นวัตกรรมการเรียนรู้ (Learning Innovation)
ครู–นักเรียนร่วมกันสร้างแนวทางเรียนรู้ใหม่ ๆ จากการแก้ปัญหา• ครูคิดกิจกรรมใหม่ ๆ จากข้อมูลจริงในห้องเรียน
นักเรียนเสนอไอเดียกิจกรรมเอง
เกิด Best Practices ใหม่ในชั้นเรียน• ชุดกิจกรรมใหม่
Clip การสอน / ภาพบันทึก
รายงาน Reflection ของทีมครู
Network Wisdom (N) — ปัญญาหมู่ และการร่วมสร้าง “ปราสาททางปัญญา” ส่วนนี้คือ ยอดปราสาท
คู่มือใช้งานแบบย่อ (ใช้ได้ทันที)
1) ประเมินรายสัปดาห์ / รายหน่วย
ครูเลือกกลุ่มนักเรียน 5–10 คน (หรือทั้งห้อง)
ใช้พฤติกรรมในตารางเป็นตัวชี้วัด
ให้คะแนน 1–4 ตามระดับที่นักเรียนแสดงจริง
2) ประเมินรายบุคคล
ครูหรือโฮมรูมกรอก Rubrics นี้ให้เด็กแต่ละคน พร้อมสรุปว่าเด็กอยู่ในระดับใด และควรขยับไปสู่ระดับถัดไปอย่างไร
3) ประเมินรายทีมครู
เพื่อดูว่าทีมครูได้ยกระดับไปสู่ระดับ 4 หรือไม่ (ระดับที่เริ่มเกิดนวัตกรรมจากการทำงานร่วมกัน)
สรุป
Rubrics นี้ช่วยให้เห็น “ความเติบโต” แบบรูปธรรม (ลด 0–ร–มส) และแบบนามธรรม (การรู้ตน ปัญญาหมู่) ในเวลาเดียวกัน สอดคล้องกับ PHANOMRUNG Model และเน้นการ “ลงมือทำก่อน – ยกระดับสู่ปัญญาภายหลัง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น